Tag: โรคผิวหนัง

เทคนิคลดฝ้าที่คุณควรรู้ ไม่อยากเป็นฝ้าต้องอ่าน

ฝ้าเป็นโรคผิวหนังที่แม้จะไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อ แต่ก็มีผลกระทบต่อความมั่นใจของผู้หญิงทุกคน ซึ่งการรักษาฝ้าในปัจจุบันมีหลายวิธีที่คุณดูแลตัวเองได้ โดยประหยัดค่าใช้จ่ายในการทำเลเซอร์ได้มากทีเดียว

สาเหตุที่สำคัญของฝ้า คือการกระตุ้นด้วยรังสียูวีในแสงแดด ที่ทำให้เซลล์ melanocyte มีการผลิตเม็ดสีมากเกินไป เมื่อสะสมมากขึ้นทำให้มองเห็นเป็นจุดด่างดำวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ บนใบหน้า ซึ่งทำให้ต้องรีบหาวิธีในการดูแลตัวเองเร่งด่วนไม่ให้ฝ้าลงลึกและเข้มกว่าเดิม สำหรับเทคนิคลดฝ้าที่คุณทำได้ง่าย ๆ มีดังนี้

1. ทาครีมกันแดด

ครีมกันแดดในปัจจุบันมีค่า SPF หลายระดับ ควรเลือกที่มีค่า SPF 50 ขึ้นไปหากต้องทำงานในที่แดดแรงหรือเล่นกีฬา และจำเป็นต้องทาซ้ำบ่อย ๆ ทุก 2-3 ชั่วโมง เพื่อเพิ่มความหนาในขณะที่เหงื่อออกชะล้างประสิทธิภาพของครีมกันแดด

2. ทาผลิตภัณฑ์สูตรรักษาฝ้า

ครีมที่มีฤทธิ์ในการลดฝ้าจาง ๆ ได้ มักเขียนว่าสูตรเพื่อผิวกระจ่างใส มีสารสกัดจากวิตามินซี มะเขือเทศ เมล็ดองุ่น ชะเอมเทศ ฯลฯ เป็นส่วนผสมซึ่งควรทาเป็นประจำต่อเนื่องวันละ 1-2 ครั้ง ก่อนทาครีมกันแดด จะช่วยในการผลัดเซลล์ผิวหน้าที่หมองคล้ำให้หลุดลอกออก และทำให้เซลล์ผิวหน้าใหม่ที่สดใส ช่วยให้คุณมั่นใจขึ้นอีกครั้ง

3. พอกหน้าสมุนไพร

การพอกหน้าลดฝ้าทำได้ด้วยตัวคุณเองง่าย ๆ จากพืชสมุนไพรในครัวเรือน ได้แก่ เจลจากว่านหางจระเข้ที่ต้องล้างยางใกล้เปลือกออกให้หมด นำมาบดผสมกับไข่ขาว แล้วพอกหน้าทิ้งไว้ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ก่อนจะบำรุงหน้าด้วยครีมสูตรผสมวิตามินอี เทคนิคนี้เป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับคนที่มีฝ้าจาง ๆ และที่สำคัญ ต้องทำเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้งด้วย

4. น้ำแอปเปิลไซเดอร์

น้ำแอปเปิลไซเดอร์เป็นน้ำผลไม้ที่หาซื้อได้ง่ายจากห้างสรรพสินค้า มีสรรพคุณในการต้านอนุมูลอิสระ กระตุ้นการหลุดลอกของเซลล์ผิวเก่า ๆ และช่วยให้เซลล์ที่เสื่อมโทรมฟื้นคืนสภาพได้เร็ว วิธีในการใช้ประโยชน์จากน้ำแอปเปิลไซเดอร์มีทั้งการดื่มผสมกับน้ำผลไม้คั้นสด และการเจือจางกับน้ำสะอาดแล้วทาบนหน้าทิ้งไว้ 10-20 นาทีก่อนล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำเป็นประจำจะทำให้ลดความเข้มของฝ้าได้

จะเห็นได้ว่า การดูแลตัวเองให้ลดฝ้าได้มีหลายวิธี ซึ่งผู้ที่ทำตามเทคนิคที่กล่าวมาและหลีกเลี่ยงการโดนแดดช่วงหลัง 8 โมงเช้าจนถึง 4 โมงเย็น จะเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้น และไม่ต้องเสี่ยงกับการใช้ผลิตภัณฑ์รักษาฝ้าอื่น ๆ ที่มีราคาแพงจนเกินไป

สาเหตุที่สำคัญของฝ้า คือการกระตุ้นด้วยรังสียูวี

บอกต่อเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับสิวสำหรับคนรุ่นใหม่ 2019

สิวเป็นโรคทางผิวหนังชนิดหนึ่ง ที่เป็นปัญหาสำคัญในช่วงวัยรุ่นและวัยทำงาน เนื่องจากปัจจัยด้านฮอร์โมนและพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ที่เป็นความเสี่ยงของการเป็นสิวหลากหลายประเภทต่าง นอกจากจะมีผลกายภาพแล้ว ยังมีผลต่อความมั่นใจในการเข้าสังคมและการทำงานด้วย

ในบทความนี้ เราจึงได้รวบรวมเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับสิวสำหรับคนรุ่นใหม่ เพื่อให้ทุกท่านรับมือกับสิวได้อย่างถูกต้องยิ่งขึ้น

สิวมีอยู่หลายชนิด ได้แก่ สิวอุดตัน สิวอักเสบ หรือที่เรียกทั่วไปว่าสิวหัวช้าง สิวผดผื่น ที่เกิดจากการแพ้เครื่องสำอาง ฯลฯ พบมากบริเวณที่มีต่อมไขมันหนาแน่น เช่น ทีโซนของใบหน้า หน้าอก แผ่นหลัง ฯลฯ

ปัญหาสิวที่คนส่วนใหญ่มักกังวล เพราะเป็นจุดสังเกต คือ สิวอักเสบ ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Propionibacterium acnes (P.acnes) ซึ่งอาศัยไขมันที่อุดตันอยู่ในรูขุมขนเป็นแหล่งอาหารในการเติบโต และหากมีการแกะเกาสิวด้วย ก็จะเกิดการติดเชื้อที่ผิวหนังจากแบคทีเรียชนิดอื่น ๆ เพิ่มเติมได้จนเป็นปัญหาลุกลามที่รักษายากขึ้น

พฤติกรรมที่ควรทำเพื่อลดปัญหาสิว ได้แก่

1. การทดสอบเครื่องสำอางที่จะใช้ โดยการทาที่บริเวณท้องแขนก่อนทาที่ใบหน้า เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่เกิดสิวผดจากการแพ้

2. การล้างหน้า ไม่ควรเกินวันละ 2 ครั้ง เช้าและก่อนนอน หากมีการออกกำลังกาย ไม่ควรล้างด้วยโฟมล้างหน้าที่ทำให้รู้สึกผิวแห้งตึง เพราะเกิดจากการสูญเสียความชุ่มชื้นและเป็นสิวได้ง่าย

3. สำหรับผู้ที่จัดแต่งทรงผม ควรทำความสะอาดด้วยแชมพูสูตรเฉพาะที่สามารถทำความสะอาดเจล แว็กซ์ สเปรย์ ฯลฯ ได้อย่างหมดจดเพื่อให้ลดการสะสมสารเคมีและสิ่งปนเปื้อนที่อาจสัมผัสใบหน้าทำให้เกิดสิวได้

4. การรับประทานผักผลไม้สดเป็นประจำ โดยเฉพาะที่มีกากใยสูง เช่น สัปปะรด แก้วมังกร มะละกอ จะช่วยกระตุ้นระบบการขับถ่าย ลดอาการท้องผูกและสิวบางชนิดได้

5. การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 6-8 ชั่วโมง ต่อวัน เพื่อให้ระบบฮอร์โมนในร่างกายทำงานเป็นปกติจะช่วยลดปัญหาการเป็นสิวอักเสบได้

6. การงดอาหารที่มีไขมันสูง เช่น ช็อกโกแลต และอาหารหมักดอง เพราะมีการศึกษาว่าเกี่ยวข้องกับการเกิดสิวได้

พฤติกรรมที่ควรทำเพื่อลดปัญหาสิว ได้แก่

เมื่อมีปัญหาสิว ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อการเลือกใช้ยารักษาได้อย่างถูกต้องตามชนิดที่เป็น ซึ่งปัจจุบันมียาให้เลือกหลายรูปแบบ เช่น ยารับประทานยาทาผิวหนัง ฮอร์โมนเม็ดรับประทาน ฯลฯ รวมถึงการใช้วิธีของแพทย์ผิวหนังที่เป็นนวัตกรรมใหม่ อย่างการเลเซอร์ เพื่อกำจัดเซลล์เก่าให้หลุดลอกออกจากบริเวณรูขุมขนและลดการเป็นสิวอุดตัน รวมถึงการทรีตเมนต์ที่ช่วยลดการสร้างไขมันส่วนเกินได้