Author: Douglas Berry (Page 1 of 7)

อาหารที่ผู้ป่วยเบาหวานควรหลีกเลี่ยง

สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน การจัดการระดับน้ำตาลในเลือดเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสุขภาพโดยรวมและความเป็นอยู่ที่ดี แม้ว่าจะไม่มีรายการอาหารที่เจาะจงที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานทุกคนควรหลีกเลี่ยงโดยสิ้นเชิง แต่ก็มีอาหารบางประเภทและแนวทางปฏิบัติในการบริโภคอาหารที่อาจส่งผลเสียต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและสุขภาพโดยรวม อาหารที่ควรเลี่ยงมีดังต่อไปนี้

อาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล: อาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งรวมถึงน้ำอัดลมที่มีน้ำตาล น้ำผลไม้ ลูกอม เค้ก คุกกี้ และขนมหวานอื่นๆ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องจำกัดรายการเหล่านี้หรือเลือกทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพโดยมีปริมาณน้ำตาลต่ำ

คาร์โบไฮเดรตขัดสี: อาหารที่ทำจากธัญพืชขัดสี เช่น ขนมปังขาว ข้าวขาว และพาสต้าธรรมดา สามารถเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างรวดเร็ว ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรเลือกใช้ธัญพืชไม่ขัดสีแทน เช่น ขนมปังโฮลวีต ข้าวกล้อง ควินัว และพาสต้าโฮลเกรน ซึ่งมีเส้นใยและสารอาหารมากกว่า และส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดน้อยกว่า

ไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์: อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์สูงสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและทำให้ความต้านทานต่ออินซูลินแย่ลง อาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง ได้แก่ เนื้อสัตว์ที่มีไขมัน ผลิตภัณฑ์นมไขมันเต็ม เนย และอาหารแปรรูปที่มีไขมันสูง ไขมันทรานส์มักพบในอาหารทอด ขนมอบ และขนมบรรจุกล่อง ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรเลือกไขมันที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ไขมันไม่อิ่มตัวที่พบในถั่ว เมล็ดพืช อะโวคาโด และน้ำมันมะกอก

อาหารแปรรูปสูง: อาหารแปรรูปมักประกอบด้วยสารปรุงแต่ง สารกันบูด ที่ไม่ดีต่อสุขภาพ และมีโซเดียมและน้ำตาลในปริมาณสูง ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและสุขภาพโดยรวม ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรจัดลำดับความสำคัญของอาหารทั้งหมดที่ผ่านการแปรรูปน้อยที่สุดทุกครั้งที่เป็นไปได้ และอ่านฉลากอาหารเพื่อตัดสินใจเลือกอย่างมีข้อมูล

เครื่องดื่มรสหวาน: เครื่องดื่มที่มีน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ชารสหวาน เครื่องดื่มชูกำลัง และเครื่องดื่มกาแฟปรุงแต่งอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรเลือกน้ำ ชาไม่หวาน หรือน้ำอัดลมที่ไม่เติมน้ำตาลเป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ

อาหารทอด: อาหารทอดมักมีไขมันและแคลอรี่ที่ไม่ดีต่อสุขภาพสูง ซึ่งอาจส่งผลให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นและทำให้ความต้านทานต่ออินซูลินแย่ลง ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรจำกัดการบริโภคอาหารทอด และเลือกวิธีปรุงอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เช่น การอบ ย่าง นึ่ง หรือผัดโดยใช้น้ำมันน้อยที่สุด

อาหารโซเดียมสูง: ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นที่จะเป็นโรคหัวใจ และการบริโภคโซเดียมมากเกินไปอาจทำให้ความเสี่ยงนี้รุนแรงขึ้น อาหารที่มีโซเดียมสูง ได้แก่ เนื้อสัตว์แปรรูป ซุปกระป๋อง ของขบเคี้ยวรสเค็ม และอาหารจานด่วน การเลือกอาหารสดทั้งมื้อและปรุงรสด้วยสมุนไพรและเครื่องเทศแทนเกลือสามารถช่วยลดปริมาณโซเดียมได้

สิ่งสำคัญสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานคือต้องทำงานอย่างใกล้ชิดกับทีมดูแลสุขภาพและนักโภชนาการเพื่อพัฒนาแผนการรับประทานอาหารส่วนบุคคลที่สนับสนุนการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด การจัดการน้ำหนัก และสุขภาพโดยรวม การเลือกรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ การออกกำลังกาย และการติดตามระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำเป็นองค์ประกอบสำคัญของการจัดการโรคเบาหวาน

การรักษาผิวหน้าของคนเป็นสิวอักเสบ

สิวอักเสบหรือที่เรียกว่า papules และ pustules อาจทำให้หงุดหงิดและส่งผลต่อความมั่นใจในตนเอง มีหลายทางเลือกในการรักษาและจัดการสิวอักเสบ รายละเอียดของแนวทางต่างๆ ดังนี้

1.การรักษาที่ไม่ต้องสั่งโดยแพทย์ (OTC)

เบนโซอิลเปอร์ออกไซด์: นี่เป็นส่วนผสมทั่วไปในผลิตภัณฑ์รักษาสิวหลายชนิด มันออกฤทธิ์โดยการฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิวและลดการอักเสบ เบนโซอิลเปอร์ออกไซด์อาจทำให้ผิวแห้งได้ ดังนั้นการใช้มอยเจอร์ไรเซอร์จึงเป็นสิ่งสำคัญ

รักษาสิวด้วยเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์

กรดซาลิไซลิก: ช่วยคลายรูขุมขนด้วยการขัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว โดยทั่วไปจะอ่อนโยนกว่าเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ แต่อาจไม่ได้ผลกับสิวรุนแรง

การรักษาสิวด้วยกรดซาลิไซลิก

ส่วนประกอบอื่นๆ: มองหาผลิตภัณฑ์ที่มีกรดอะเซไลอิก ซัลเฟอร์ หรือน้ำมันทีทรี ซึ่งอาจช่วยจัดการสิวระดับเล็กน้อยถึงปานกลางได้

ยาที่ต้องสั่งโดยแพทย์

หากการรักษาแบบ OTC ไม่ได้ผล แพทย์ผิวหนังสามารถสั่งยาที่ออกฤทธิ์แรงกว่าได้ เช่น

ยาปฏิชีวนะเฉพาะที่: ยาเหล่านี้มุ่งเป้าไปที่แบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว

เรตินอยด์: สิ่งเหล่านี้ได้มาจากวิตามินเอและช่วยขจัดสิ่งอุดตันในรูขุมขนและลดการอักเสบ อาจระคายเคืองต่อผิวหนังได้โดยเฉพาะในช่วงแรก

ยาผสม: ส่วนผสมเหล่านี้รวมเช่นยาปฏิชีวนะและเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์เพื่อแนวทางที่ตรงเป้าหมายมากขึ้น

เคล็ดลับอื่นๆ:

พัฒนากิจวัตรการดูแลผิวที่อ่อนโยน: ล้างหน้าวันละสองครั้งด้วยน้ำยาทำความสะอาดสูตรอ่อนโยนที่ปราศจากน้ำมันและน้ำอุ่น หลีกเลี่ยงการขัดถูแรงๆ และถูหน้า

ให้ความชุ่มชื้นอย่างสม่ำเสมอ: แม้ว่าผิวของคุณจะมีความมัน แต่การใช้มอยเจอร์ไรเซอร์สามารถช่วยป้องกันความแห้งและการระคายเคืองที่เกิดจากการรักษาสิวได้

อย่าแกะหรือบีบสิว: เพราะจะทำให้การอักเสบแย่ลงและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดแผลเป็น

ลดความเครียด: ความเครียดอาจทำให้สิวแย่ลงได้ ค้นหาวิธีจัดการกับความเครียดที่ดีต่อสุขภาพ เช่น การออกกำลังกาย เทคนิคการผ่อนคลาย หรือการใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติ

ไปพบแพทย์ผิวหนัง: หากคุณมีสิวรุนแรง สิวเรื้อรัง หรือสิวที่ไม่ดีขึ้นเมื่อรักษาด้วย OTC ให้ปรึกษาแพทย์ผิวหนัง พวกเขาสามารถพัฒนาแผนการรักษาเฉพาะบุคคลได้ตามความต้องการเฉพาะของคุณ

การรักษาสิวต้องใช้เวลาและความสม่ำเสมอ อดทนกับผิวของคุณและอย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญหากจำเป็น

ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสำหรับคนเป็นสิว

มีผลิตภัณฑ์มากมายสำหรับคนเป็นสิว แต่สิ่งสำคัญคือต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิวและความรุนแรงของสิว คำแนะนำทั่วไปมีดังนี้

มองหาผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำมันและไม่ก่อให้เกิดสิว ซึ่งหมายความว่ามันจะไม่อุดตันรูขุมขน ซึ่งอาจทำให้สิวแย่ลงได้ ใช้น้ำยาทำความสะอาดสูตรอ่อนโยนวันละสองครั้ง อย่าขัดผิวเพราะจะทำให้ระคายเคืองได้ ทามอยเจอร์ไรเซอร์ทุกวัน ถึงผิวจะมันแต่ก็ยังต้องการความชุ่มชื้น มองหามอยเจอร์ไรเซอร์ที่ระบุว่า “ไม่ก่อให้เกิดสิว” รักษาสิวด้วยการรักษาเฉพาะจุด มีผลิตภัณฑ์รักษาเฉพาะจุดที่จำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์มากมาย เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์หรือกรดซาลิไซลิก ไปพบแพทย์ผิวหนังหากสิวของคุณรุนแรงหรือไม่ดีขึ้นด้วยการรักษาที่จำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์ แพทย์ผิวหนังสามารถสั่งยาที่ออกฤทธิ์แรงกว่าได้ เช่น เรตินอยด์หรือยาปฏิชีวนะ

คำแนะนำผลิตภัณฑ์เฉพาะบางส่วนมีดังนี้

น้ำยาทำความสะอาด

CeraVe Foaming Facial Cleanser: น้ำยาทำความสะอาดสูตรอ่อนโยนนี้ปราศจากน้ำหอมและไม่ก่อให้เกิดสิว จึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับทุกสภาพผิว

La Roche-Posay Effaclar Purifying Foaming Gel Cleanser: น้ำยาทำความสะอาดนี้เหมาะสำหรับผิวมันและเป็นสิวง่าย ประกอบด้วยกรดซาลิไซลิกเพื่อช่วยขัดผิวและป้องกันการเกิดสิว

มอยเจอร์ไรเซอร์

CeraVe Moisturizing Facial Lotion: มอยเจอร์ไรเซอร์เนื้อบางเบานี้ไม่ก่อให้เกิดสิวและปราศจากน้ำหอม ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวโดยไม่อุดตันรูขุมขน

Vanicream Lite Lotion: โลชั่นปราศจากน้ำหอมนี้อ่อนโยนพอสำหรับผิวที่บอบบางที่สุด นอกจากนี้ยังไม่ก่อให้เกิดสิวและปราศจากน้ำมันอีกด้วย

การรักษาเฉพาะจุด

Neutrogena Rapid Clear Acne Spot Treatment: ทรีทเม้นต์เฉพาะจุดนี้ประกอบด้วยเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบ

La Roche-Posay Effaclar Duo Dual Action Acne Treatment: ทรีตเมนต์เฉพาะจุดนี้มีทั้งเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์และกรดซาลิไซลิกเพื่อรักษาสิวและป้องกันไม่ให้เกิดสิวใหม่

โปรดทราบว่านี่เป็นเพียงคำแนะนำทั่วไปเท่านั้น ผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดสำหรับคุณจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลและความรุนแรงของสิว เป็นการดีที่สุดเสมอที่จะพูดคุยกับแพทย์ผิวหนังก่อนเริ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวใหม่

ทำความรู้จักกับสินเชื่อไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน รู้ก่อนทำสินเชื่อเหล่านี้

หากพูดถึงคำว่าสินเชื่อหลายคนต้องนึกถึงหลักทรัพย์ค้ำประกัน ใช่หรือไม่? ซึ่งสินเชื่อยังมีอีกประเภทหนึ่ง ที่ไม่ต้องวางหลักทรัพย์ค้ำประกันเลย แต่ต้องแลกมาด้วยอัตราดอกเบี้ยสูง ระยะเวลาผ่อนชำระสั้น ถ้าบริหารจัดการไม่ดีย่อมมีความเสี่ยงผิดนัดชำระได้ง่าย ๆ และมาดูกันเลยดีกว่าว่า “สินเชื่อไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน” มีอะไรบ้าง ที่มือใหม่อยากทำสินเชื่อควรรู้

บัตรเครดิต

เป็นสินเชื่อที่ทำให้เราเผลอใช้จ่ายเงินเกินตัวได้ง่ายๆโดยอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตปัจจุบัน คือ 16 % ต่อปี และหากผู้ใช้งานบัตรมีความรู้ด้านการเงินดีเยี่ยมไม่จำเป็นต้องกลัวบัตรเครดิตเลย เพราะให้สิทธิประโยชน์เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นส่วนลดเวลาซื้อสินค้าในราคาพิเศษ, Gift Voucher, บัตรลดราคาน้ำมัน หรือแม้แต่ตั๋วเครื่องบินฟรีไปต่างประเทศ ซึ่งอันตรายที่แท้จริงของบัตรเครดิต คือ การจ่ายขั้นต่ำ เนื่องจากแต่ละธนาคารกำหนดขั้นต่ำของบัตรเครดิตรุ่นนั้น ๆ แตกต่างกันออกไป เช่น จ่ายขั้นต่ำ 3% 7% หรือ 10% และดอกเบี้ยของบัตรเครดิตเริ่มเดินทันที ที่คุณใช้บัตรจ่ายเงินออกไป โดยดอกเบี้ยจะถูกคำนวณเป็น 2 ส่วน คือ 1. ดอกเบี้ยของยอดทั้งหมดตั้งแต่จ่ายขั้นต่ำ 2.ดอกเบี้ยหลังจากชำระขั้นต่ำ โดยมีวิธีคำนวณดังนี้

ดอกเบี้ยส่วนแรก

สมมติให้จ่ายเงินซื้อของไป50,000บาท จ่ายขั้นต่ำ 5% เป็นจำนวนเงิน 2,500 บาท จ่ายเงินตรงเวลากำหนดครบชำระ โดยวันที่ทำรายการ คือ15มีนาคม ธนาคารสรุปยอดบัญชีทุกวันที่ 25 และวันครบกำหนดชำระ คือ วันที่10เมษายน จะคิดตามสูตรคำนวณ คือ [ค่าใช้จ่ายxอัตราดอกเบี้ยต่อปีxจำนวนวันก่อนวันที่ครบกำหนดชำระ 1 วัน)] / จำนวนวันใน 1 ปี = (50,000 *16%*26)/365 = 569.86  บาท 

ดอกเบี้ยส่วนที่ 2

จะเป็นการคิดเงินในส่วนของหลังหักการจ่ายขั้นต่ำ (50,000 – 2,500 = 47,500 บาท) โดยมีสูตรคำนวณดังนี้

(เงินหลังหักขั้นต่ำ * อัตราดอกเบี้ยต่อปี *จำนวนวันที่ชำระคืนบางส่วนถึงวันที่สรุปยอดบัญชีเดือนถัดไป) / จำนวนวันใน 1 ปี = 47,500*16%*16/ 365 = 315.62 บาท

ดังนั้นดอกเบี้ยที่เราต้องจ่ายทั้งสิ้น 569.86+315.62 = 885.48 เห็นได้ชัดว่าหากจ่ายแค่ขั้นต่ำไปเรื่อย ๆ ไม่ยอมจ่ายเต็ม มีโอกาสที่คุณจะจ่ายดอกเบี้ยไม่ไหวในอนาคต

บัตรกดเงินสด

ถึงแม้ว่าบัตรเครดิตบางรุ่นจะสามารถกดเงินสดได้แต่ค่าธรรมเนียมนั้นสูงกว่า ทำให้บางคนหันไปใช้บัตรกดเงินสดแทนซึ่งบัตรกดเงินสดแตกต่างจากบัตรเครดิตตรงที่ต้องกดเงินสดออกมาซื้อของเท่านั้นไม่ใช่ใช้แทนเงินสดเหมือนบัตรเครดิต และดอกเบี้ยบัตรกดเงินสดอยู่ที่ราว 25% ต่อปี ที่สำคัญขอวงเงินฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็ว เหมาะสำหรับผู้ต้องการใช้เงินด่วนอย่างยิ่ง

สินเชื่อส่วนบุคคล

เป็นสินเชื่อที่มีหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อค่าเล่าเรียนสินเชื่อหมุนเวียน ฯลฯ ซึ่งความแตกต่างของสินเชื่อส่วนบุคคลกับบัตรเครดิตและบัตรกดเงินสดคือ ธนาคารจะโอนเงินให้ทันทีที่ผลการพิจารณาสินเชื่อผ่าน ดอกเบี้ยจะเริ่มคิดตอนเงินเข้าบัญชี และดอกเบี้ยจ่ายจะเท่ากันทุกงวด มีกำหนดชำระชัดเจน แตกต่างจากบัตรเครดิตที่เดือนนั้นอาจไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยก็ได้ หากชำระเต็ม

แม้ว่าสินเชื่อเหล่านี้จะอนุมัติไว ได้เงินง่าย นั่นก็เปรียบเสมือนดาบ 2 คม ที่ทำให้เรามีโอกาสใช้จ่ายเงินเกินตัวมากยิ่งขึ้น ดังนั้นเราอาจนำเงินเหล่านี้ไปต่อยอดให้ชีวิตคุณสบายขึ้นได้ ด้วยการบริหารเงินอย่างชาญฉลาด ได้แก่ จ่ายเงินตามกำหนดชำระ ไม่จ่ายขั้นต่ำ และไม่เป็นหนี้เกินตัวมากกว่ารายได้

พิจารณาทำเลคอนโดยังไง ควรรู้ไว้ก่อนซื้อเพื่อลงทุน

ในปัจจุบันการลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์เป็นที่นิยมมากในกลุ่มผู้มีเงินทุน ไม่ว่าจะเป็นการซื้อเพื่อนำไปขายต่อในอนาคต หรือเพื่อซื้อไว้ปล่อยเช่าเพื่อสร้างรายได้ล้วนเป็นการลงทุนที่น่าสนใจทั้งนั้น แต่ใช่ว่าทุกคอนโดจะประสบความสำเร็จได้อย่างนี้ เพราะการเลือกทำเลให้ดี จะมีโอกาสทำกำไรได้มากกว่าพื้นที่อื่น ๆ อย่างชัดเจน ซึ่งหลักการในการเลือกทำเลคอนโดที่ควรรู้ไว้มีดังต่อไปนี้

  1. เดินทางสะดวก

หากจะซื้อคอนโดซักที่ ตำแหน่งที่เดินทางสะดวก เข้าเมืองง่าย จะได้รับความนิยมมากกว่า โดยพิจารณาได้จากที่ตั้งที่อยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าหรือถนนใหญ่ หรือหากเป็นคอนโดที่อยู่ในซอย จะต้องไม่ลึกเกินไป เดินทางได้ไม่ลำบาก ถ้าเป็นซอยลึกหรือซอยแคบคงไม่เหมาะที่จะซื้อมาลงทุนซักเท่าไหร่

  1. ใกล้สถานที่หลักสำคัญ ๆ

คอนโดที่มีคนอยู่อาศัยมักอยู่ในแหล่งเศรษฐกิจที่มีโอกาสในการเติบโต โดยพิจารณาได้จากสถานที่ตั้งต้องอยู่ใกล้แหล่งหลักสำคัญอย่าง สถานศึกษา ย่านการค้า แหล่งออฟฟิศ เพราะจะมีลูกค้าให้เลือกหลากหลาย แถมอยู่ในจุดที่มีเม็ดเงินหมุนเวียนมาก จะทำให้ราคาต่อตารางเมตรดีดขึ้นได้มากในอนาคต

  1. ไม่มีประวัติภัยธรรมชาติ

หากคอนโดตั้งอยู่ในจุดที่เคยเกิดภัยธรรมชาติอย่าง น้ำท่วม หลุมยุบ การที่ผู้คนจะกังวลว่าเหตุการณ์เหล่านั้นจะเกิดซ้ำอีกครั้งนับเป็นเรื่องปกติ จะส่งผลให้ทำเลเหล่านี้ไม่ได้รับความนิยม เพราะอสังหาริมทรัพย์เป็นทรัพย์สินขนาดใหญ่ ไม่มีใครอยากแบกรับความเสี่ยงในเรื่องนี้ เพราะตัวคอนโดอาจจะได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์เหล่านั้นอีกครั้งในอนาคต

  1. ใกล้แหล่งของกิน

คอนโดที่ดีควรอยู่ในจุดที่หาของกินได้ง่าย เช่น ใกล้ตลาด ใกล้ศูนย์อาหาร หรือมีร้านค้าตั้งอยู่ในละแวกใกล้เคียง เพราะในปัจจุบันไม่ใช่ทุกคนที่นิยมทำอาหาร พวกเขาจึงมักมองหาคอนโดที่อยู่ใกล้แหล่งอาหาร จะทำให้ราคาคอนโดตรงนั้นทำราคาได้ดีกว่า และมีโอกาสที่คนจะอยู่กันพลุกพล่าน จนได้รับการพัฒนาในอนาคต

  1. ทำเลของห้องในคอนโด

ใครว่าทำเลของตึกที่ตั้งคอนโดสำคัญอย่างเดียว รู้ไหมว่าภายในตึกเดียวกัน ถึงเป็นห้องติดกัน ราคาอาจจะต่างกันหลายหมื่นเลยทีเดียว โดยห้องคอนโดที่อยู่ในตำแหน่งดีควรอยู่ไม่ใกล้ลิฟต์จนเกินไป เพราะอาจจะมีเสียงรบกวน แต่ไม่ควรไกลจนเดินลำบากเช่นกัน นอกจากนั้นคอนโดที่อยู่ติดห้องขยะหรือห้องไฟฟ้ามักจะมีราคาไม่ดี ขายต่อยาก เพราะคนไม่อยากอยู่ห้องตำแหน่งนั้น

เมื่อได้เรียนรู้เรื่องการเลือกทำเลคอนโดที่มีศักยภาพแล้ว อย่าลืมสำรวจราคาของคอนโดรอบข้างเพื่อเปรียบเทียบกับคอนโดที่สนใจก่อนตัดสินใจซื้อ เพราะหากซื้อมาได้ในราคาต่ำ จะเพิ่มโอกาสทำกำไรให้เพิ่มขึ้นสูงได้ง่าย และแนะนำว่าให้ใช้เวลาในการตัดสินใจซื้อคอนโดนาน ๆ เพราะราคาคอนโดไม่ใช่น้อย ๆ อย่าพลาดเรื่องการเลือกทำเลด้วยความรีบร้อนเลย เพียงเท่านี้จะสามารถการันตีกำไรจากการลงทุนซื้อคอนโดได้แน่นอน

หิวระหว่างวัน แต่ไม่กล้ากินเพราะกลัวอ้วน ต้องฟังทางนี้

เคยไหม? เวลาหิวก็อยากจะทานอะไรไปหมด จนเผลอสั่งอาหารมาเต็มโต๊ะและไม่สามารถกินหมด นั้นเพราะเราปล่อยให้ความหิวมาครอบงำ ฉะนั้นนอกจากในเรื่องของสติควบคุมการกินแล้ว คุณยังต้องศึกษาช่วงเวลา ควรเช็คดูด้วยว่าตอนไหนควรทานอะไร ปริมาณมากน้อยแค่ไหน หากทำได้รับรองว่ากินอย่างไรก็ไม่อ้วนและไม่หิวแน่นอน ไปดูกันเลยว่าเมนูของว่างมีอะไรได้บ้าง

1.คุกกี้ธัญพืช เป็นขนมทานเล่นรสชาติดีและอุดมไฟเบอร์ช่วยเรื่องระบบขับถ่าย คาร์โบไฮเดรตชนิดดี สามารถทานได้ที่ 2 ชิ้นเล็ก ๆ เมื่อดูเรื่องน้ำหนักจะต้องไม่เกิน 17 กรัม จะช่วยให้พลังงาน 90 กิโลแคลอรี คลายความหิว

2.แคร็กเกอร์โฮลวีท เป็นของทานเล่นแม้จะมีขนาดเล็กแต่ช่วยทำให้ความหิวลดลง ซึ่งควรทานในปริมาณเพียง 4 แผ่นเล็ก นอกจากนี้ยังเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ลดความอยากในอาหารชนิดอื่น ๆ ได้อีกด้วย เพราะในแคร็กเกอร์ให้พลังงานเพียง 80 กิโลแคลอรีเท่านั้น

3.ขนมปังโฮลวีท เป็นขนมปังที่คนรักสุขภาพแนะนำให้ทานเล่นหากรู้สึกหิว แต่ต้องไม่เกิน 1 แผ่นและทานเพียว ๆ ไม่มีอย่างอื่นมาทานคู่ อย่างแยม เนย นม ไม่ควรอย่างยิ่ง 

4.เม็ดมะม่วงหิมพานต์ เป็นทั้งของทานเล่นและกับแกล้มที่มีประโยชน์มากทีเดียว อาทิ วิตามิน แร่ธาตุ ไฟเบอร์ โดยเฉพาะในคนที่กำลังลดน้ำหนักสามารถทานเล่นได้เมื่อหิว ให้พลังงาน 100 กิโลแคลอรี อย่างไรก็ตามไม่ควรทานเกิน 12 เม็ด 

5.ถั่วพิสตาชิโอ 25 เม็ด ถั่วลิสง 17 เม็ด และถั่วอัลมอนด์ 15 เม็ด เป็นถั่วชนิดที่ดีต่อสุขภาพ อุดมไปด้วยสารไฟโตสเตอรอล ส่งผลดีในเรื่องของการดูดซึมคอเลสเตอรอลในลำไส้  เพราะมีไฟเบอร์ช่วยในเรื่องขับถ่ายและแคโรทีนอยด์ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ในการทานแต่ละครั้ง 25 เม็ด จะให้พลังงานเพียง 100 กิโลแคลอรีเท่านั้นเอง

6.ส้ม ในการทานแนะนำว่าควรเลือกขนาดกลางเพราะจะให้พลังานประมาณ 60 กิโลแคลอรีเทียบเท่ากับกล้วยน้ำว้า การทานควรทานเนื้อทั้งหมด ไม่ควรปลอกเอาใยต่าง ๆ ออกหมด เพราะในนั้นมีไฟเบอร์ส่งผลดีต่อระบบขับถ่าย ทานแล้วสดชื่น มีวิตามินซีที่ดีต่อระบบภูมิคุ้มกัน เหมาะกับการทานเพื่อลดน้ำหนักและอิ่มท้องได้เช่นกัน

7.แอปเปิล ก่อนทานแนะนำให้เลือกขนาดกลางเปลือก ในแอปเปิล 1 จะให้พลังงาน 70 กิโลแคลอรี ไม่เพียงรสชาติหวานและเปรี้ยวจะทำให้สดชื่นเท่านั้น ยังทำให้อิ่มท้องมาก ๆ ด้วย เพราะในนั้นมีไฟเบอร์เพกติน นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์มากมาย อาทิ วิตามิน กรดอะมิโนและแร่ธาตุสำคัญ รู้แบบนี้แล้วต้องเลือกซื้อมาติดตู้เย็นไว้เลย

ทริกเด็ด! เลิกบุหรี่เพื่อคนรอบข้างและตัวเองให้สำเร็จ

หากสูบบุหรี่เป็นนิจมักจะมีสัญญาณสุขภาพอันตรายร้ายแรงไม่ว่าจะในผู้หญิงหรือผู้ชาย ซึ่งแม้จะรู้ถึงโทษว่ามีมากมายแค่ไหนก็ไม่อาจทำให้เลิกได้ เพราะบางคนมองว่าเป็นการเข้าสังคมและก็ยังสามารถใช้ชีวิตแบบปกติสุขดี แต่ในบางคนเมื่อถึงจุดหนึ่งที่มีครอบครัวเริ่มให้ความสำคัญกับคนรอบข้าง รวมไปถึงใส่ใจสุขภาพมากขึ้นมักจะยกให้เป็นเป้าหมายในการเลิกบุหรี่ วันนี้หากจิตใจของคุณพร้อม เราจะแนะนำทริกการเลิกบุหรี่หากทำได้รับรองว่าเลิกได้แน่นอน

1.ลดปริมาณการสูบลง
สิ่งแรกที่คนติดบุหรี่เลือกทำคือลดปริมาณการสูบลงจากที่เคยสูบหลายมวนต่อวันก็จะยืดระยะเวลา เพื่อไม่ให้ตัวเองสูบติดต่อกันเหมือนอย่างที่เคย แต่ในบางคนทำได้ไม่นานก็กลับมาสูบอีกครั้ง ฉะนั้นนอกจากการเปลี่ยนพฤติกรรมแล้ว ควรหาอะไรมาเคี้ยวให้ปากไม่ว่างเพื่อสร้างนิสัยใหม่ เช่น การเคี้ยวหมากฝรั่ง อมลูกอมและดมยาดม

2.ไม่ไปสถานที่เดิมที่เคยสูบ
ความเคยชินถือเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่งที่ทำให้การเลิกบุหรี่สำเร็จผลได้ยากมากยิ่งขึ้น เพราะเมื่อได้ไปสถานที่เดิม ๆ จะทำให้นึกถึงพฤติกรรมที่เคยสูบบุหรี่ รวมไปถึงสภาพแวดล้อมที่อาจเต็มไปด้วยผู้คนที่เคยอยู่ในวงสูบบุหรี่ด้วยกัน ทางที่ดีแนะนำเลยว่าให้หาสถานที่ใหม่ ๆ เพื่อเดินออกกำลังกาย

3.ตัวช่วยของการเลิกบุหรี่คือการดื่มน้ำ
สำหรับใครที่กำลังจะเลิกบุหรี่จะต้องเพิ่มปริมาณในการดื่มน้ำมากขึ้นคือ ดื่มน้ำไม่ต่ำกว่าวันละ 10 แก้วหรือปริมาณ 2 ลิตรต่อวัน พิษจึงจะสามารถขับออกมาจากร่างกายได้

4.อาหารตัวช่วยในการเลิกบุหรี่
อาหารเป็นสิ่งที่กระตุ้นทำให้อยากสูบบุรี่ โดยเฉพาะที่มีรสจัด อาทิ เผ็ด เค็ม มัน หวาน ในช่วงที่กำลังเลิกบุหรี่ควรเลี่ยงและเลือกรับประทานผักผลไม้สดที่มีรสเปรี้ยวเท่านั้นหรือจะเลือกกินมะนาว โดยการหั่นบาง ๆ พกติดตัวเอาไว้อมเวลาที่รู้สึกอยากสูบบุหรี่ อมจนกว่าจะเกิดรสขมที่คอแล้วจะทำให้ความอยากในการสูบน้อยลงไปเรื่อย ๆ

5.การออกกำลังกายควบคู่การเลิกสูบบุหรี่
การออกกำลังกายก็ไม่ได้มีความพิเศษอะไรมากนัก ใช้เวลาแค่ 30 นาที เท่านั้น ไม่เพียงช่วยให้ปอดแข็งแรงเท่านั้น แต่หากมีเหงื่ออออกจะทำให้สารพิษในร่างกายขับออกไปด้วย

นอกจากนั้นแล้วจะต้องนึกถึงเป้าหมายและเตือนตัวเองเสมอในช่วงที่คุณกำลังจะเลิกบุหรี่อาจจะมีบางช่วงที่อยากจะกลับไปดูดอีกครั้ง แต่หากรู้ตัวเองว่ากำลังจะกลับไปพึ่งมันอีกครั้งให้นึกถึงเป้าหมายและคนรอบข้าง

เคล็ดลับดูแลสุขภาพยังไง ให้ห่างไกลออฟฟิศซินโดรม

สำหรับวัยทำงานทุกคนคงเคยได้ยินเกี่ยวกับโรคออฟฟิศซินโดรมกันมาบ้าง อาการของโรคนี้ครอบคลุมหลายระบบในร่างกาย มีทั้งอาการปวดคอบ่าไหล่ อาการปวดข้อต่อและเส้นเอ็น อาการดวงตาล้า อาการปวดท้องจากการกินอาการไม่ถูกสุขลักษณะ หรือแม้แต่อาการปวดหัวจากความเครียดในการทำงาน โดยอาการทั้งหมดเหล่านี้ล้วนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันและลดประสิทธิภาพในการทำงาน

ถ้าจะรอให้เป็นโรคออฟฟิศซินโดรมแล้วมารักษาทีหลัง นอกจากจะต้องอดทนกับความเจ็บปวด ยังต้องเสียเงินในการรักษาอีกด้วย ดังนั้นการดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันตัวเองจากโรคนี้จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น และวัยทำงานทุกคนสามารถทำตามได้ง่าย ๆ ดังนี้ 

ขยับตัวเปลี่ยนท่าเวลาทำงาน

การนั่งทำงานเพลินหรือจดจ่ออยู่กับงานมีโอกาสทำให้ชาวออฟฟิศเผลอนั่งค้างท่าเดิมเป็นระยะเวลานาน ซึ่งจะส่งผลให้กล้ามเนื้อหรือเส้นประสาทบางจุดโดนกดทับมากเกินไปจนเกิดอาการปวดหรือชา ดังนั้นการขยับตัวเปลี่ยนท่าทางเวลาทำงานอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดความเสี่ยงนี้ลงได้ โดยสามารถทำได้ด้วยการลุกเดินหรือยืดเหยียดร่างกาย โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าควรมีการเปลี่ยนท่าทางและอิริยาบทอย่างน้อยทุก 1 ชั่วโมง

เสริมสร้างสุขภาพด้วยการออกกำลังกาย

การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและมีวินัย จะช่วยสร้างความแข็งแรงให้ร่างกาย เพิ่มความยืดหยุ่นให้กล้ามเนื้อ การยืดเหยียดร่างกายจะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่อ่อนล้าจากการทำงาน ซึ่งเป็นการลดอาการบาดเจ็บจากออฟฟิศซินโดรมได้ดี นอกจากนั้นการออกกำลังกายยังช่วยลดความเครียดและผ่อนคลายจิตใจอีกด้วย

เลือกอาหารดีมีประโยชน์ให้ร่างกาย

การเลือกกินอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วนก็เป็นหนึ่งในพื้นฐานการดูแลสุขภาพที่สำคัญสำหรับวัยทำงาน โดยควรเลือกอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันต่ำ เป็นการช่วยควบคุมรูปร่างเพื่อลดน้ำหนักกดทับต่อข้อต่อและเส้นเอ็น ซึ่งจะช่วยบรรเทาความเสี่ยงของการเกิดออฟฟิศซินโดรมได้ 

ออกแบบสภาพแวดล้อมโต๊ะทำงานให้เหมาะสม

การนั่งทำงานผิดท่า ต้องยืดคอหรือค้อมตัวมากไป ทำให้เกิดอาการปวดกล้ามเนื้อเฉพาะที่ หรืออาจลุกลามไปถึงการกดทับเส้นประสาท ชาวออฟฟิศจึงปรับหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับสายตา ไม่สร้างภาระให้คอบ่าไหล่ต้องก้มหรือเงยมากเกินไป หรืออาจลงทุนกับเก้าอี้ดี ๆ ที่ทำให้การนั่งทำงานสะดวกสบายขึ้น

พักผ่อนทั้งร่างกายและจิตใจให้เพียงพอ

ความเครียดจากการทำงานเป็นอีกสาเหตุหนึ่งสาเหตุของอาการออฟฟิศซินโดรม ดังนั้นการสร้างสมดุลระหว่างการทำงานและการพักผ่อนหลังเลิกงานก็เป็นสิ่งสำคัญ สามารถทำได้ง่าย ๆ ทุกวัน เช่น การนอนพักผ่อนให้เพียงพอ หางานอดิเรกที่ชอบเพื่อช่วยผ่อนคลาย ออกไปใช้เวลากับเพื่อนและครอบครัว สิ่งนี้จะช่วยส่งเสริมสุขภาพของชาวออฟฟิศได้เป็นอย่างดี

ถ้าชาวมนุษย์เงินเดือนคนไหนที่กำลังมีอาการเริ่มต้นของออฟฟิศซินโดรมหรือใช้ชีวิตประจำวันอยู่ในความเสี่ยงเหล่านี้ ตอนนี้ยังไม่สายเกินไปที่จะเริ่มดูแลตัวเอง นำวิธีการดูแลตัวเองง่าย ๆ เหล่านี้ไปเริ่มปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ทำอย่างสม่ำเสมอ เปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองไปทีละเล็กละน้อย สร้างนิสัยที่ดีในการดูแลสุขภาพ ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคออฟฟิศซินโดรมจะลดลงอย่างชัดเจน และทำให้สุขภาพโดยรวมทั้งร่างกายและจิตใจดีขึ้นอย่างแน่นอน 

ฟาสต์ฟู้ด กินแล้วไม่อ้วน ด้วย 6 ทริกเด็ด

อาหารฟาสต์ฟู้ดหรือของทอดมักเป็นอุปสรรคสำหรับคนที่กำลังควบคุมน้ำหนักในช่วงแรก เพราะเคยชินกับการกินซึ่งในอาหารประเภทนี้มีไขมันและคอเรสเตอรอลสูง สารอาหารที่มีประโยชน์น้อย เมื่อกินเข้าไปทำให้เกิดไขมันสะสม น้ำหนักเพิ่ม จากผลเสียของการกินฟาสต์ฟู้ดไม่อาจทำให้หลายคนเลิกได้ฉับพลัน หากต้องการกินอยู่ เรามีทริกดี ๆ สำหรับคนที่ยังต้องการกินอยู่ ต้องทำอย่างไรให้กินแล้วไม่อ้วนไปดูกันเลย

1.กินอย่างมีสติ

      เรื่องสติสามารถใช้ได้กับการกิน เพราะในบางคนเมื่อได้กินแล้วก็มักจะหยุดไม่ได้และลืมเป้าหมายของตัวเองว่ากำลังลดน้ำหนัก ซึ่งช่วงแรก ๆ ยังไม่ต้องงด สามารถกินได้แต่อย่างที่บอกต้องมีสติ 

2.กินให้พอเหมาะ

      อย่างที่บอกว่าไปว่าแรก ๆ ยังไม่ต้องงด กินในปริมาณที่เหมาะสมและค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้อยากจนตะบะแตก ทำให้กินมากกว่าเดิมนั้นเอง

3.เพิ่มสารอาหารด้วยการกินผักหรือสลัดด้วย

     เมื่อรู้ว่าอาหารฟาสต์ฟู้ดไม่มีประโยชน์มากเท่าไหร่นัก ก็ควรเลือกกินเมนูอื่นอย่างสลัดควบคู่ไปด้วย เพิ่มสารอาหารให้แก่เมนูนี้ ทำให้อิ่มท้องได้แบบไม่ต้องสั่งเพิ่ม

4.ก่อนและหลังกินฟาสต์ฟู้ด ให้ดื่มน้ำเปล่า

     เพื่อลดการหิวแนะนำว่าให้ดื่มน้ำเปล่าสัก 1-2 แก้ว แต่หากดื่มหลังจากที่กินฟาสต์ฟู้ดเป็นการช่วยให้ย่อยง่ายมากขึ้น 

5.เคี้ยวนาน ๆ และให้ละเอียด

      หลักการกินก็ถือเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีมากขึ้นและทาได้น้อยแต่อิ่มท้องไม่แพ้กัน ฉะนั้นหากใครชอบกินเร็ว ๆ ต้องลดสปีดลงบ้างแล้ว

6.ออกกำลังกาย สิ่งนี้สำคัญมากที่สุด เพราะจะทำให้ร่างกายเบิร์นไขมันออกไป คาร์ดิโอ หรือ HIIT มีประสิทธิภาพมากในเรื่องการเผาผลาญไขมันในร่างกาย

เคล็ดลับสั่งฟาสต์ฟู้ดมากินไม่ให้น้ำหนักพุ่ง

  • ไม่เพิ่มไขมันด้วยการกินกินมันฝรั่งทอด หากอยากจะกินจริง ๆ แนะนำให้สั่งไซซ์ s เท่านั้น จำนวนแคลอรี่อยู่ที่ 249 kcal หากสั่งมากกว่านั้นปริมาณเทียบเท่าได้กับแฮมเบอร์เกอร์ 1-2 ชิ้นเลย
  • เลี่ยงเครื่องดื่มน้ำอัดลมหรือน้ำหวานแคลอรี่สูงเกิน 100 kcal
  • ไม่สั่งไซซ์ใหญ่ เพราะมีแคลอรี่สูงที่สุดนั้นเอง ฉะนั้นหากไม่อยากอ้วนห้ามสั่งไซซ์ใหญ่ ๆ เด็ดขาด 

ใครที่กำลังลดน้ำหนัก หากอ่านข้อมูลในวันนี้เชื่อว่าจะต้องได้ความรู้และนำไปปรับใช้ได้อย่างแน่นอน แม้ว่าอาหารฟาสต์ฟู้ดจะมีแคลอรี่สูง แต่หากกินอย่างมีสติ เลือกกินในปริมาณที่เหมาะสมและควบคู่ไปกับผักจะช่วยทำคุมน้ำหนักได้ดีมากยิ่งขึ้น แต่หากต้องการให้หุ่นสวยเร็ววันจะต้องงดเลยเป็นการดีที่สุด

พัฒนาคุณ พัฒนางาน ทำยังไงให้ทำงานเก่งขึ้น

การแข่งขันในสังคมของการทำงานและการชิงดีชิงเด่นกันในองค์กรเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นในทุกวงการ แถมในยุคนี้มีการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาใช้ในการทำงาน จนทำให้คนที่ตามโลกไม่ทันต้องกลายเป็นผู้แพ้ จนมีโอกาสสูญเสียงานที่รักไปอีกด้วย ถ้าหากอยากยืนอยู่ในโลกแห่งการแข่งขันได้อย่างมั่นคง แน่นอนว่าต้องรู้จักพัฒนาตัวเอง ซึ่งสามารถทำได้ตาม 5 เทคนิคต่อไปนี้

  1. ฝึกฝนด้านเทคโนโลยีใหม่ ๆ

อย่าตกยุค ต้องพัฒนาตัวเองให้หมุนได้ทันโลก ยิ่งเรื่องของเทคโนโลยีต้องทำตัวให้ทันสมัย ด้วยการเรียนรู้เรื่องราวใหม่ ๆ อยู่เสมอ ถ้าหากทำงานเฉพาะทางต้องเรียนรู้เทคนิคใหม่ที่ใช้ในการทำงานให้ช่ำชองและควรสามารถนำเทคโนโลยีเหล่านั้นมาใช้ในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย

  1. เรียนรู้เพิ่มทักษะอย่างสม่ำเสมอ

หลายงานจะก้าวหน้าได้ถ้ามีทักษะที่ตลาดต้องการ การเรียนรู้เพิ่มเติมเรื่องทักษะใหม่ ๆ จึงเป็นเรื่องทั่วไปที่ทุกคนควรทำ เช่นถ้าทำงานด้านการพัฒนาเว็บไซต์ ต้องเรียนรู้ภาษาใหม่ ๆ หรือซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการทำงานอย่างสม่ำเสมอ เพราะเด็กรุ่นใหม่มีแนวโน้นที่จะเรียนรู้เรื่องเหล่านี้มาตั้งแต่ต้น คุณที่ทำงานมาก่อนจะมีโอกาสเป็นหัวหน้างาน ต้องฝึกเรื่องเหล่านี้ให้เชี่ยวชาญเช่นกัน

  1. ให้ความสำคัญกับภาษา

การเรียนรู้ภาษาใหม่เป็นเหมือนการเปิดแหล่งข้อมูลให้กว้างขึ้น นอกจากนั้นกรอบของการสื่อสารจะกว้างขึ้นอีกด้วย ตัวอย่างเช่นคนที่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างเชี่ยวชาญ จะสามารถหาข้อมูลในเว็บไซต์ต่างประเทศได้ดีกว่า และสามารถขยายไปตลาดต่างชาติได้อย่างไม่ยากเย็น นอกจากนั้นในปัจจุบันการเรียนรู้ภาษาที่ 3 นับเป็นเรื่องสำคัญไม่ใช่น้อย เช่น ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น เพราะไม่แน่ว่าคุณอาจมีโอกาสได้ไปทำงานต่างประเทศในวันหนึ่ง

  1. ฟังให้มากและหมั่นสร้างคอนเน็กชั่น

ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้จากการฟังและพาตัวเองไปอยู่ในที่ที่ล้อมรอบด้วยคนเก่ง คุณจะมีโอกาสได้เรียนรู้และเข้าใจวิธีคิดของคนที่ประสบความสำเร็จ นอกจากนั้นเมื่อมีโอกาสต้องรู้จักถามในเรื่องที่สงสัยและพยายามคิดตาม แล้วนำมาปรับใช้กับสถานการณ์ของตัวเอง ด้วยวิธีนี้คุณจะสามารถพาตัวเองก้าวหน้าไปได้เช่นกัน

  1. ประยุกต์ความรู้ที่มีกับความจริง

หลายคนเก่งแค่การท่องจำตำรา แต่เมื่อต้องลงสนามทำงานจริงกลับไม่สามารถทำได้อย่างคล่องแคล่วเหมือนการทำข้อสอบ ดังนั้นต้องพยายามประยุกต์ความรู้ที่มีกับสถานการณ์ของความเป็นจริงอย่างชาญฉลาด อาจจะทำได้ด้วยการเรียนรู้จากกรณีศึกษาที่มีมาก่อน และลงมือทำอย่างรอบคอบ ด้วยวิธีนี้งานของคุณจะพัฒนาได้อย่างเต็มที่

เพียงแค่ทำตามทั้ง 5 เทคนิคอย่างสม่ำเสมอ คุณจะสามารถพัฒนาเป็นคนใหม่ที่เก่งรอบด้านได้อย่างแน่นอน ใครที่ยังไม่ลงมือทำสามารถเริ่มได้ตั้งแต่วันนี้ ข้อสำคัญคืออย่าท้อแท้และอย่าเอาตัวเองไปเทียบกับคนอื่นมากเกินไป แค่เก่งกว่าตัวเองในเมื่อวานก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว

« Older posts