Page 2 of 7

ฟาสต์ฟู้ด กินแล้วไม่อ้วน ด้วย 6 ทริกเด็ด

อาหารฟาสต์ฟู้ดหรือของทอดมักเป็นอุปสรรคสำหรับคนที่กำลังควบคุมน้ำหนักในช่วงแรก เพราะเคยชินกับการกินซึ่งในอาหารประเภทนี้มีไขมันและคอเรสเตอรอลสูง สารอาหารที่มีประโยชน์น้อย เมื่อกินเข้าไปทำให้เกิดไขมันสะสม น้ำหนักเพิ่ม จากผลเสียของการกินฟาสต์ฟู้ดไม่อาจทำให้หลายคนเลิกได้ฉับพลัน หากต้องการกินอยู่ เรามีทริกดี ๆ สำหรับคนที่ยังต้องการกินอยู่ ต้องทำอย่างไรให้กินแล้วไม่อ้วนไปดูกันเลย

1.กินอย่างมีสติ

      เรื่องสติสามารถใช้ได้กับการกิน เพราะในบางคนเมื่อได้กินแล้วก็มักจะหยุดไม่ได้และลืมเป้าหมายของตัวเองว่ากำลังลดน้ำหนัก ซึ่งช่วงแรก ๆ ยังไม่ต้องงด สามารถกินได้แต่อย่างที่บอกต้องมีสติ 

2.กินให้พอเหมาะ

      อย่างที่บอกว่าไปว่าแรก ๆ ยังไม่ต้องงด กินในปริมาณที่เหมาะสมและค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้อยากจนตะบะแตก ทำให้กินมากกว่าเดิมนั้นเอง

3.เพิ่มสารอาหารด้วยการกินผักหรือสลัดด้วย

     เมื่อรู้ว่าอาหารฟาสต์ฟู้ดไม่มีประโยชน์มากเท่าไหร่นัก ก็ควรเลือกกินเมนูอื่นอย่างสลัดควบคู่ไปด้วย เพิ่มสารอาหารให้แก่เมนูนี้ ทำให้อิ่มท้องได้แบบไม่ต้องสั่งเพิ่ม

4.ก่อนและหลังกินฟาสต์ฟู้ด ให้ดื่มน้ำเปล่า

     เพื่อลดการหิวแนะนำว่าให้ดื่มน้ำเปล่าสัก 1-2 แก้ว แต่หากดื่มหลังจากที่กินฟาสต์ฟู้ดเป็นการช่วยให้ย่อยง่ายมากขึ้น 

5.เคี้ยวนาน ๆ และให้ละเอียด

      หลักการกินก็ถือเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีมากขึ้นและทาได้น้อยแต่อิ่มท้องไม่แพ้กัน ฉะนั้นหากใครชอบกินเร็ว ๆ ต้องลดสปีดลงบ้างแล้ว

6.ออกกำลังกาย สิ่งนี้สำคัญมากที่สุด เพราะจะทำให้ร่างกายเบิร์นไขมันออกไป คาร์ดิโอ หรือ HIIT มีประสิทธิภาพมากในเรื่องการเผาผลาญไขมันในร่างกาย

เคล็ดลับสั่งฟาสต์ฟู้ดมากินไม่ให้น้ำหนักพุ่ง

  • ไม่เพิ่มไขมันด้วยการกินกินมันฝรั่งทอด หากอยากจะกินจริง ๆ แนะนำให้สั่งไซซ์ s เท่านั้น จำนวนแคลอรี่อยู่ที่ 249 kcal หากสั่งมากกว่านั้นปริมาณเทียบเท่าได้กับแฮมเบอร์เกอร์ 1-2 ชิ้นเลย
  • เลี่ยงเครื่องดื่มน้ำอัดลมหรือน้ำหวานแคลอรี่สูงเกิน 100 kcal
  • ไม่สั่งไซซ์ใหญ่ เพราะมีแคลอรี่สูงที่สุดนั้นเอง ฉะนั้นหากไม่อยากอ้วนห้ามสั่งไซซ์ใหญ่ ๆ เด็ดขาด 

ใครที่กำลังลดน้ำหนัก หากอ่านข้อมูลในวันนี้เชื่อว่าจะต้องได้ความรู้และนำไปปรับใช้ได้อย่างแน่นอน แม้ว่าอาหารฟาสต์ฟู้ดจะมีแคลอรี่สูง แต่หากกินอย่างมีสติ เลือกกินในปริมาณที่เหมาะสมและควบคู่ไปกับผักจะช่วยทำคุมน้ำหนักได้ดีมากยิ่งขึ้น แต่หากต้องการให้หุ่นสวยเร็ววันจะต้องงดเลยเป็นการดีที่สุด

พัฒนาคุณ พัฒนางาน ทำยังไงให้ทำงานเก่งขึ้น

การแข่งขันในสังคมของการทำงานและการชิงดีชิงเด่นกันในองค์กรเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นในทุกวงการ แถมในยุคนี้มีการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาใช้ในการทำงาน จนทำให้คนที่ตามโลกไม่ทันต้องกลายเป็นผู้แพ้ จนมีโอกาสสูญเสียงานที่รักไปอีกด้วย ถ้าหากอยากยืนอยู่ในโลกแห่งการแข่งขันได้อย่างมั่นคง แน่นอนว่าต้องรู้จักพัฒนาตัวเอง ซึ่งสามารถทำได้ตาม 5 เทคนิคต่อไปนี้

  1. ฝึกฝนด้านเทคโนโลยีใหม่ ๆ

อย่าตกยุค ต้องพัฒนาตัวเองให้หมุนได้ทันโลก ยิ่งเรื่องของเทคโนโลยีต้องทำตัวให้ทันสมัย ด้วยการเรียนรู้เรื่องราวใหม่ ๆ อยู่เสมอ ถ้าหากทำงานเฉพาะทางต้องเรียนรู้เทคนิคใหม่ที่ใช้ในการทำงานให้ช่ำชองและควรสามารถนำเทคโนโลยีเหล่านั้นมาใช้ในการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย

  1. เรียนรู้เพิ่มทักษะอย่างสม่ำเสมอ

หลายงานจะก้าวหน้าได้ถ้ามีทักษะที่ตลาดต้องการ การเรียนรู้เพิ่มเติมเรื่องทักษะใหม่ ๆ จึงเป็นเรื่องทั่วไปที่ทุกคนควรทำ เช่นถ้าทำงานด้านการพัฒนาเว็บไซต์ ต้องเรียนรู้ภาษาใหม่ ๆ หรือซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการทำงานอย่างสม่ำเสมอ เพราะเด็กรุ่นใหม่มีแนวโน้นที่จะเรียนรู้เรื่องเหล่านี้มาตั้งแต่ต้น คุณที่ทำงานมาก่อนจะมีโอกาสเป็นหัวหน้างาน ต้องฝึกเรื่องเหล่านี้ให้เชี่ยวชาญเช่นกัน

  1. ให้ความสำคัญกับภาษา

การเรียนรู้ภาษาใหม่เป็นเหมือนการเปิดแหล่งข้อมูลให้กว้างขึ้น นอกจากนั้นกรอบของการสื่อสารจะกว้างขึ้นอีกด้วย ตัวอย่างเช่นคนที่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างเชี่ยวชาญ จะสามารถหาข้อมูลในเว็บไซต์ต่างประเทศได้ดีกว่า และสามารถขยายไปตลาดต่างชาติได้อย่างไม่ยากเย็น นอกจากนั้นในปัจจุบันการเรียนรู้ภาษาที่ 3 นับเป็นเรื่องสำคัญไม่ใช่น้อย เช่น ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น เพราะไม่แน่ว่าคุณอาจมีโอกาสได้ไปทำงานต่างประเทศในวันหนึ่ง

  1. ฟังให้มากและหมั่นสร้างคอนเน็กชั่น

ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้จากการฟังและพาตัวเองไปอยู่ในที่ที่ล้อมรอบด้วยคนเก่ง คุณจะมีโอกาสได้เรียนรู้และเข้าใจวิธีคิดของคนที่ประสบความสำเร็จ นอกจากนั้นเมื่อมีโอกาสต้องรู้จักถามในเรื่องที่สงสัยและพยายามคิดตาม แล้วนำมาปรับใช้กับสถานการณ์ของตัวเอง ด้วยวิธีนี้คุณจะสามารถพาตัวเองก้าวหน้าไปได้เช่นกัน

  1. ประยุกต์ความรู้ที่มีกับความจริง

หลายคนเก่งแค่การท่องจำตำรา แต่เมื่อต้องลงสนามทำงานจริงกลับไม่สามารถทำได้อย่างคล่องแคล่วเหมือนการทำข้อสอบ ดังนั้นต้องพยายามประยุกต์ความรู้ที่มีกับสถานการณ์ของความเป็นจริงอย่างชาญฉลาด อาจจะทำได้ด้วยการเรียนรู้จากกรณีศึกษาที่มีมาก่อน และลงมือทำอย่างรอบคอบ ด้วยวิธีนี้งานของคุณจะพัฒนาได้อย่างเต็มที่

เพียงแค่ทำตามทั้ง 5 เทคนิคอย่างสม่ำเสมอ คุณจะสามารถพัฒนาเป็นคนใหม่ที่เก่งรอบด้านได้อย่างแน่นอน ใครที่ยังไม่ลงมือทำสามารถเริ่มได้ตั้งแต่วันนี้ ข้อสำคัญคืออย่าท้อแท้และอย่าเอาตัวเองไปเทียบกับคนอื่นมากเกินไป แค่เก่งกว่าตัวเองในเมื่อวานก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว

เรียนรู้ 3 วิธีป้องกันและลดการบาดเจ็บจากการออกกำลังกายและการเล่นกีฬา

คุณเป็นคนหนึ่งหรือเปล่าที่ชื่นชอบการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายเป็นประจำ หลาย ๆ ครั้งหลังจากการเล่นกีฬามักที่จะมีอากาศบาดเจ็บตามมาอย่างกล้ามเนื้ออักเสบ มีการตึงตัวมากกว่าปกติหรือมีอาการปวดขณะที่มีการเคลื่อนไหวด้วยท่าทางต่าง ๆ ทำให้กลับไปเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายได้ลำบากยิ่งขึ้น การดูแลตนเองด้วยการป้องกันการบาดเจ็บด้วยวิธีการที่ถูกต้องจึงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เพราะช่วยส่งผลดีต่อร่างกายในกรณีที่ต้องการส่งเสริมสุขภาพด้วยการออกกำลังกาย

  1. มีการยืดเหยียดกล้ามเนื้อเตรียมความพร้อมของกล้ามเนื้อก่อนและหลังการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม อย่างที่เราทราบกันดีว่าก่อนและหลังการเล่นกีฬาควรที่จะมีการยืดเหยียดกล้ามเนื้ออย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อมัดที่ต้องใช้ในการเล่นกีฬาประเภทนั้น ๆ ยกตัวอย่างเช่นการวิ่งที่ต้องใช้ล้ามเนื้อขาท่อนบน ท่อนล่าง กล้ามเนื้อสะโพกค่อนข้างมาก ก็ควรที่จะมีการยืดเหยียดกล้ามเนื้อน่อง ต้นขาหน้า ต้นขาหลังและกล้ามเนื้อสะโพกชั้นตื้นและชั้นลึก เป็นต้น โดยแต่ละท่าทางก็ควรจะมีระยะเวลาในการยืดอย่างเพียงพอ เพราะถ้าใช้เวลายืดกล้ามเนื้อน้อยหรือมากเกินไปก็จะไม่ส่งผลดีต่อร่างกายเช่นกัน 
  2. สวมชุดออกกำลังกายและชุดกีฬาที่เหมาะสมสำหรับการออกกำลังหรือกีฬาประเภทนั้น ๆ เพื่อป้องกันการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การออกกำลังกายด้วยการเล่นสเก็ตบอร์ดก็ควรที่จะใส่อุปกรณ์ป้องกันต่าง ๆ ทั้ง หมวกสเก็ตบอร์ด สนับป้องกันบริเวณข้อเข่าทั้งสองข้าง รองเท้าที่ใส่ก็ต้องเหมาะสมอย่างรองเท้าผ้าใบ โดยไม่ควรที่จะเล่นด้วยรองเท้าที่มีส้นสูงหรือการเล่นด้วยเท้าเปล่า เป็นต้น เนื่องด้วยแต่ละท่าทางของชนิดกีฬาที่มีความโลดโผนมีความเสี่ยงต่อการหกล้ม กระแทกได้ การป้องกันด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ และชุดที่มีความคล่องตัวจงเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์
  3. ประมาณศักยภาพในการเล่นกีฬาและการเคลื่อนไหวของตนเองได้ ยกตัวอย่างเช่น บางชนิดกีฬาที่ต้องกระโดดสูงหรือก้าวข้ามสิ่งกีดขวางอย่างรวดเร็วเพื่อไปรับลูก ก็ต้องประเมินขีดความสามารถของตนเองว่าเคยมีการฝึกฝนมาก่อนหรือไม่ ถ้าไม่ก็ไม่ควรที่จะฝืนทำจนเกิดอันตราย เพราะท่าทางการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายที่มีความยากก็จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดการบาดเจ็บให้มากขึ้นได้

จะเห็นได้ว่าแต่ละวิธีนั้นมีประโยชน์อย่างมากต่อร่างกายของผู้ที่มีการออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาเป็นประจำ นอกจากจะช่วยลดและป้องกันอาการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นจากการเล่นกีฬาแล้วก็ยังทำให้ได้หันมาใส่ใจและรู้จักการดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสมมากยิ่งขึ้น

9 สาเหตุหน้าแก่ก่อนวัย

การใช้ชีวิตที่ขาดความรู้นำสู่การสร้างโรคและทำร้ายร่างกายให้เสื่อมก่อนวัยอันควร หน้าแก่ก่อนวัยก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ของหนุ่มสาว อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ความแก่มาเยือนผิวหน้าก่อนถึงเวลาอันควร ไปดูกัน 

  1. ตากแดดจัดขาดการปกป้อง 

เพราะแสงแดดมีรังสี UV, UVB ที่เป็นสาเหตุให้เกิดอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวคล้ำเสีย เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยเหี่ยวย่น ในคนที่ต้องทำงานกลางแจ้ง มีโอกาสสัมผัสแดดบ่อยๆจำเป็นต้องใช้ครีมกันแดดที่มี SPF 50 ขึ้นไป และควรเลี่ยงการสัมผัสช่วงแดดจัด

  1. ดื่มน้ำน้อย 

ร่างกายมีน้ำเป็นส่วนประกอบถึง 70% เราควรทยอยดื่มน้ำให้ได้ 1.5-3 ลิตร/วัน เพื่อกระตุ้นระบบไหลเวียนของเลือด เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ลดการแตกแห้ง เป็นขุย ป้องกันผิวเหี่ยวย่น 

  1. ผิวแห้ง 

มีพฤติกรรมดื่มน้ำน้อย ล้างเครื่องสำอางไม่สะอาด ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่มีส่วนผสมของอัลกอฮอลล์ ขาดการใช้ครีมบำรุงผิว ล้างหน้าด้วยน้ำที่อุณภูมิสูงเกินไป เช็ดผิวหน้ารุนแรง เป็นต้น

  1. ทานหวาน  

น้ำตาลตัวอันตรายเข้าไปเปลี่ยนโครงสร้างของคอลลาเจนเกิดการทำลายอีลาสติกซึ่งเป็นโปรตีนสร้างผิวกระชับและยืดหยุ่น ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ เร่งผิวหนังแห้ง มีริ้วรอยลึก หย่อนคล้อย องค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) แนะนำให้ผู้ใหญ่และเด็กบริโภคน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัม/วัน ตัวอันตรายอันดับต้นๆ คือ น้ำอัดลม ในปริมาณ 450 มิลลิลิตร มีน้ำตาล 10.75 ช้อนชา และชานมไข่มุก ใน 350 มิลลิลิตร มีน้ำตาล 11.25 ช้อนชา เป็นต้น 

  1. นอนดึก-ท่านอนไม่เหมาะสม 

การนอนดึก นอนไม่เป็นเวลาจะสกัดกั้นการทำงานของโกรทฮอร์โมน (สร้างการเติบโต) ที่จะหลั่งมาทำหน้าที่ซ่อมแซม เร่งการเติบโตในช่วงเวลานอน (หลัง 4 ทุ่ม) ทำให้ผิวหน้าไม่ได้รับการซ่อมแซมตามธรรมชาติ นอกจากนี้ท่านอนคว่ำจะทำให้เกิดรอยย่นที่หน้าผากและแก้มได้ง่าย การนอนหงายจึงเป็นท่านอนที่เหมาะสมที่สุด 

  1. กินตอนดึก  ส่งผลให้เกิดการยับยั้งการหลั่งของฮอร์โมนต้านความแก่ คือ เมลาโทนิน 
  2. แต่งหน้าจัด ล้างไม่สะอาด 

ในเครื่องสำอางมีสารเคมีที่พร้อมทำลายผิว การใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ไม่อ่อนโยนต่อผิว หรือล้างไม่สะอาดจะเกิดการตกค้างของสารเคมีทยอยทำร้ายผิวอย่างต่อเนื่อง 

  1. พฤติกรรมทำหน้าแก่ 

เช่น แสดงอารมณ์ผ่านใบหน้ามากเกินไปทำให้กล้ามเนื้อใต้ผิวหนังบนใบหน้าทำงานหนัก และทำให้เกิดริ้วรอยและร่องลึกได้ง่าย เช่น การขมวดคิ้ว เบะปาก, การเคี้ยวหมากฝรั่งนานๆ เช่น วันละ 20 นาทีทำให้เกิดรอยย่นรอบปาก

  1. การสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตัวการสร้างอนุมูลอิสระ ยิ่งดื่มยิ่งสูบยิ่งแก่เร็ว

จะเห็นได้ว่าทั้ง 9 สาเหตุหน้าแก่ดังกล่าวข้างต้นเกิดจากพฤติกรรมประจำวันที่เราสร้างขึ้นมาทำลายผิวหน้าของเราเองทั้งสิ้น เพียงใส่ใจ ลด ละ เลิก ป้องกัน ดูแล ปัจจัยเสี่ยงที่พร้อมทำลายผิวพรรณเหล่านี้ ก็สามารถให้สุขภาพผิวดำเนินสภาพไปตามวัยได้อย่างเหมาะสม 

รวมเทคนิคน่ารู้ปรับบุคลิกภาพเพื่อเสริมความมั่นใจ

รวมเทคนิคน่ารู้ปรับบุคลิกภาพเพื่อเสริมความมั่นใจ

บุคลิกภาพเป็นสิ่งสำคัญที่มีผลชัดเจนต่อภาพลักษณ์ของผู้ที่ได้พบเห็น ซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสได้ศึกษาถึงนิสัยใจคอที่แท้จริงซึ่งกันและกัน สิ่งแรกที่จะถูกมองก่อนก็คือบุคลิกภาพนั่นเอง ใครที่อยากมีบุคลิกภาพที่ดี มีความมั่นใจ การมีตัวช่วยที่ดีอย่างการวิธีการปรับบุคลิกภาพจึงเป็นคำตอบที่ใช่สำหรับหลายๆ คน

  • เมื่ออยู่ในสถานการณ์ใดๆ ก็ตามควรมีการแสดงออกอย่างเหมาะสมกับกาลเทศะ พูดง่ายๆ ก็คือควรที่จะมีการฝึกควบคุมอารมณ์ของตนเอง ในที่นี้จะรวมทั้งการพูด การแต่งกายและการแสดงออก การสื่อสารทางร่างกายด้วย ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับทุกคนต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างเป็นประจำจึงจะทำออกมาได้ดี
  • กล้าที่จะแสดงความเป็นตัวของตัวเองออกมาอย่างเหมาะสม พูดอีกนัยหนึ่งก็คือมีความกล้าในการแสดงออก ถ้าสิ่งที่ทำนั้นไม่ได้ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน สามารถมีบุคลิกและสไตล์ที่เป็นตัวของตัวเองได้ ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นเหมือนกับคนอื่นๆ ทั้ง 100 % โดยสามารถนำส่วนที่ดีมาปรับใช้ได้ อาทิเช่น การหยิบยกโปรแกรมบอลแต่ละคู่มาวิเคราะห์นั้นควรกล้าแสดงออกทางความคิดในแบบของเรา ทั้งทีเด็ดบอลเต็ง ทีเด็ดบอลสเต็ป ทีเด็ดบอลต่อ ทีเด็ดบอลรอง หรือแม้กระทั่งทีเด็ดบอลไลฟ์ ไม่สำคัญว่าจะถูกหรือจะคิด มันขึ้นอยู่กับความคิดของเราล้วนๆ
  • ให้ความสนใจในสิ่งที่ผู้พูดกำลังพูดเพื่อสื่อสารออกมา เมื่อมีการสนทนากับบุคคลอื่นควรที่จะตั้งใจฟังในสิ่งที่พูดกำลังบอก ความหมายที่ต้องการสื่ออกมา มีการพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อเป็นการแสดงออกถึงการฟังและการตอบรับที่ดี
  • เดิน นั่งด้วยท่าทางที่สวยงาม หลายคนมักจะติดการเดินแบบห่อไหล่ ตัวโค้ง ก้มอยู่เสมอ ๆ การปรับลำตัวให้ยืดตรง ไม่คดงอจะช่วยเสริมให้ท่าทางดูน่ามอง มีความสง่าและมีความสวยงามมากยิ่งขึ้น นอกจากจะช่วยให้บุคลิกภาพดูดีมากขึ้นแล้วยังช่วยลดโอกาสในการเกิดความตึงตัวของกล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่ได้อีกด้วย
  • เมื่อรู้สึกเขิน รู้สึกประหม่า ไม่มั่นใจ มีความกังวลในบทสนทนาต่าง ๆ ควรเก็บมือให้ดี ไม่ใช้ในการยกขึ้นมาจับหน้า ทัดผม เกาศีรษะ หรือขยับเคลื่อนไหวมือมากจนเกินไปเพราะจะทำให้เสียบุคลิกภาพได้ และผู้ที่พบเห็นก็จะรู้สึกได้ถึงความไม่มั่นใจ หากได้ลองปรับแก้ตรงส่วนนี้ดูรับรองได้ว่าจะทำให้บุคลิกภาพของคุณดีขึ้นกว่าเดิมมากทีเดียว
  • ปรับการแต่งตัวและการทำผมให้ดูมีความมั่นใจมากขึ้น สามารถทำได้โดยเลือกเสื้อผ้า เครื่องประดับ รองเท้าที่มีความเข้ากันและเหมาะกับสถานที่นั้น ๆ เลือกแบบ โทนสีที่ผู้สวมใส่แล้วเข้ากับสีผิวของตนเอง มีความมั่นใจ   

และทั้งหมดนี้ก็เป็นเทคนิคน่ารู้ในการปรับบุคลิกภาพเพื่อช่วยเสริมความมั่นใจทั้งสำหรับคุณผู้หญิงและผู้ชาย ใครที่สนใจวิธีการไหนก็สามารถนำไปปรับใช้กันได้เลย บอกเลยว่าดีต่อใจสุด ๆ

จริงหรือไม่? มือถือ ตัวการทำลายความสัมพันธ์

         มือถือคือเครื่องมือสื่อสารที่ทำให้คนเราได้พูดคุยกันแม้ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหน แต่ในเวลานี้มือถือไม่ได้ทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้ทุกคนได้ติดต่อถึงกันเท่านั้น สามารถให้ความสะดวกในหลายด้านไม่ว่าจะเป็น ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกม เล่นโซเชียลมีเดีย เหล่านี้ทำให้เกิดความเพลิดเพลินอยู่ตลอดเวลา แต่หารู้ไหมว่านั้นคือตัวการที่ทำให้ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว คนรักและมิตรภาพห่างเหินกันออกไป เพื่อเป็นการเตือนให้ใช้สื่อเหล่านี้อย่างมีสติเราไปดูกันว่าข้อเสียมีอะไรบ้าง

1.ความสัมพันธ์ระหว่างคนใกล้ชิดห่างเหินกันมากขึ้น

          ลองสังเกตตัวเองไม่ว่าจะทำอะไรก็มักจะหยิบมือถือขึ้นมาดู แม้กระทั่งในตอนกินข้าว เดินห้าง ก่อนนอน เป็นกิจกรรมที่คุณอยู่ร่วมกับคนอื่น แต่กลับไม่ให้ความสำคัญเลย หากคุณยังไม่รู้สึกตัวและปล่อยไว้ความสัมพันธ์ระหว่างคนใกล้ชิดจะต้องพังและห่างเหินออกไปอย่างแน่นอน 

2.สร้างความเข้าใจผิดผ่านโซเชียลมีเดีย

          สำหรับคนที่ติดมือถือมาก ๆ มักจะชอบเล่นเฟซบุ๊ก อินสตราแกรม ทวิตเตอร์ เป็นต้น มองว่านี่คือเพื่อนรู้ใจที่สามารถระบายความในใจได้ทั้งหมด อย่างการพูดถึงคนรักหรือคนในครอบครัว เมื่อได้พิมพ์ออกไปให้สาธารชนได้เห็น ในเวลานั้นคุณอาจรู้สึกดีที่ได้ระบาย แต่หากปล่อยไปสักพักเมื่อกลับมาอ่านจะรู้สึกทันทีว่าไม่น่าพิมพ์ออกไปเช่นนั้น เพราะเกิดความเข้าใจผิด ซึ่งอาจทำให้ความสัมพันธ์แย่ลง

3.ระหว่างคนรักอาจทำให้กิจกรรมบนเตียงน้อยลง

           ใครที่ติดมือถือมาก ๆ แม้จะเข้านอนแล้วก็ไม่ยอมวางจะต้องได้เล่น ได้จับและอัพเดทข่าวสารต่าง ๆ เล่นเกม แชทไลน์ เหล่านี้ทำให้คุณเพลิดเพลินจนลืมคนข้าง ๆ ไปเลย ฉะนั้นควรวางมือถือลงและให้เวลากับคนรัก เพื่อทำกิจกรรมสร้างความสัมพันธ์ร่วมกัน 

4.เป็นช่องทางของมือที่สาม

           ด้วยความที่มือถือเป็นตัวกลางในการเข้าถึงสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ทำให้สามารถติดผู้คนได้มากมายทั้งมิตรภาพใหม่และเก่า ซึ่งสำหรับคนที่มีนิสัยเจ้าชู้มักจะใช้สิ่งนี้แหละในการนัดพบ พูดคุยกันลับหลังคนรัก แน่นอนว่าไม่ดีต่อความสัมพันธ์ หากถูกจับได้อาจนำไปสู่การเลิกรา

5.เปรียบเทียบน้อยใจกับชีวิตคู่ของตัวเอง

          สังคมบนโลกโซเชียลทุกวันนี้จะเห็นว่าใคร ๆ ก็ต่างอวดมุมที่มีความสุข ซึ่งหากในคนที่มีจิตใจไม่เข้มแข็ง อาจทำให้น้อยใจ อิจฉาและมักนำมาเปรียบเทียบกับตัวเอง อย่างคนที่มีความรักแฟนซื้อของแพง ๆ ให้ บางคนเห็นอาจน้อยใจ นำไปสู่การทวงถามและทะเลาะกันขึ้น ส่งผลต่อความสัมพันธ์มากทีเดียว

แต่มือถือก็ยังมีประโยชน์ในหลายๆด้านของการศึกษาหาข้อมูล ซึ่งถ้าเราต้องการหาข้อมูลอะไร ก็สามารถเสริจ์ชในกูเกิลได้เลย อย่างเช่น บ้านผลบอล888 เป็นต้น

 จากการนำเสนอเราไม่ได้ตัดสินว่ามือถือเป็นสิ่งที่เลวร้าย หากแต่ผู้ใช้งานรู้จักทำให้เกิดประโยชน์ อย่าได้หมกมุ่นหรือยึดติดกับสิ่งเหล่านี้มากนัก มิเช่นนั้นอาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ รวมไปถึงสุขภาพด้วย

5 วิธีเลือกโคมไฟอ่านหนังสือ

การอ่านหนังสือควรใช้แสงที่ให้ความสว่างอย่างเพียงพอและเหมาะสม ไม่อ่านหนังสือในขณะที่แสงสลัว หรือจัดจ้าจนเกินไป ซึ่งจะส่งผลให้ดวงตาอ่อนล้า ปวด หรือแสบตา บางครั้งน้ำตาไหล และอาจตาพร่ามัวและปวดศีรษะตามมาได้ ซึ่งไฟส่องสว่างในตัวบ้านไม่สามารถให้แสงสว่างกับการอ่านได้อย่างเพียงพอ จึงควรต้องเลือกใช้โคมไฟมาเป็นตัวช่วย  ไปดู 5 วิธีเลือกโคมไฟอ่านหนังสือดังนี้ 

  1. เลือกประเภทที่ชอบและเหมาะกับโต๊ะทำงาน  โคมไฟที่ถูกใจมีให้เลือกหลายประเภททั้งแบบตั้ง แบบหนีบ เจาะติดกำแพง เลือกให้สอดรับกับลักษณะโต๊ะทำงานมีส่วนช่วยในการจัดระยะระหว่างโคมไฟกับสายตาให้มีความเหมาะสม เป็นอุปกรณ์แต่งบ้านไปด้วยในตัว และทำให้มีแรงบันดาลใจในการทำงานมากขึ้น 
  1. ใช้แสงไฟที่ใกล้เคียงแสงธรรมชาติมากที่สุด   สีของแสงมี 3 ประเภทคือ 
  • หลอดไฟสี Warm white จะมีอุณหภูมิประมาณ 3000K สีจะออกเหลืองนวล 
  • หลอดไฟสี Cool white จะมีอุณหภูมิประมาณ 4000K สีจะออกขาวนวล
  • หลอดไฟสี Daylight จะมีอุณหภูมิของแสงประมาณ 6500K สีจะขาวสว่าง  

ควรเลือกหลอดชนิดวอวร์มไวท์ หรือคูลไวท์ ซึ่งจะมีสีของแสงที่นวลสบายตา ไม่เหลือง และไม่ขาวจนเกินไปเลือก หลีกเลี่ยงประเภท Daylight เพราะให้แสงจ้ามากเกินไป  ใช้ความสว่างประมาณ 4-7 วัตต์  การอ่านจะผ่อนคลาย และอ่านได้นาน 

  1. พิจารณาค่าความสว่างของหลอดไฟ และค่าส่องสว่างให้เหมาะสม  เลือกค่าความสว่างที่ 300-400 ไม่เกิน 450 ลูเมน (lm) เป็นค่าแสงที่ช่วยลดภาระสายตาช่วยให้ดวงตาไม่ต้องทำงานหนักเกินไป ค่านี้หากตัวเลขยิ่งมากก็จะยิ่งสว่างมาก สามารถดูได้ที่ข้างกล่องหลอดไฟ และค่าส่องสว่าง (Illuminance) สำหรับการอ่านเขียนหนังสือ, ทำงานเอกสาร หรืองานพิมพ์ที่ใช้คอมพิวเตอร์ จะอยู่ที่ 400-500 lx  ที่เหมาะกับการอ่านหนังสือจะอยู่ที่ประมาณ 500 lx 
  1. ใช้หลอด LED  เป็นชนิดหลอดที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน ช่วยถนอมสายตา ประหยัดไฟ อายุการใช้งานยาวนาน ราคาไม่แพงเกินไป ไม่มีรังสีอินฟราเรด และ อัลตราไวโอเลตที่ทำให้เกิดฝ้า กระ และหากใช้ต่อเนื่องนาน ๆ อาจทำให้เป็นมะเร็งผิวหนังได้อีกด้วย  เป็นชนิดหลอดที่ไม่มีสารที่เป็นผลร้ายต่อมนุษย์ และสิ่งแวดล้อม 
  1. ติดตั้งไฟในมุมที่ไม่ถนัด กล่าวคือ หากถนัดมือขวาให้ติดตั้งไฟมุมด้านซ้าย เพื่อให้แสงที่สะท้อนกับหน้ากระดาษไม่ตกกระทบมาที่ดวงตา และช่วยทำให้ไม่เกิดเงาขณะเขียนหนังสือ หลีกเลี่ยงการติดตั้งโคมไฟจากด้านหลังเพราะจะทำให้เกิดเงา นอกจากนี้ควรตั้งหนังสือให้อยู่ในระยะที่ใช้สายตาอ่านได้อย่างผ่อนคลาย คือ ให้เอียงทำมุมกับดวงตาประมาณ 40-80 องศา

ดวงตาคือหัวใจดวงหนึ่งของเรา การเลือกใช้แสง สี ความสว่างที่เหมาะสมจะช่วยได้มากในการถนอมสายตา และช่วยให้อ่านได้นานขึ้นโดยที่ไม่ทำลายสุขภาพดวงตา

มันยังไม่จบแค่นี้ ! เด เคอาหวังพาผีแดงชนะบาร์ซ่าในบ้านตัวเอง

ดาบิด เด เคอา ผู้รักษาประตูของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้กล่าวว่าพวกเขาสามารถเผชิญหน้ากับ บาร์เซโลน่า คู่แข่งร่วมบอลยุโรปจากสเปนได้อย่างภาคภูมิใจในความสามารถของตัวเองอย่างเต็มเปี่ยมได้เลย เกมยูโรป้าลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายนัดแรกนั้น ผลบอลสด 888 ทั้งสองทีมเสมอกันไปด้วยสกอร์ 2-2 ที่ คัมป์ นู เมื่อคืนนี้ และตอนนี้เกมแลกที่ 2 ก็จะกลับไปสู้กันที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ในสัปดาห์หน้า

“มันไม่ใช่ผลการแข่งขันที่ยอดเยี่ยมเท่าไหร่ เมื่อคุณทำได้แค่เสมอ แต่มันเป็นแมตช์ที่ยอดเยี่ยม” เด เคอา กล่าวกับ MUTV

“ผมคิดว่าทั้งสองทีม พยายามทำประตูและสร้างโอกาสในเกมรุกให้ได้ตลอด มันเป็นเกมที่ยอดเยี่ยม บางทีหลังจากที่เราทำประตูที่สองได้ เราก็น่าจะคุมเกมได้ แต่จากนั้นพวกเขาก็ยิงตีเสมอเป็น 2-2 ได้ซะแบบนั้น มันค่อนข้างยาก เพราะในตอนท้ายบาร์เซโลน่าเล่นได้ดุดันมาก พวกเขาสร้างโอกาสได้บ้าง แต่มาดูกัน เกมตอนนี้มันเปิดโอกาสสำหรับทั้งสองทีมแล้ว มาดูกันที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ดในวันพฤหัสบดีว่าเราจะสามารถเล่นฟุตบอลด้วยสไตล์ที่ยอดเยี่ยม [มากกว่า] พวกเขา และจะเอาชนะพวกเขาได้หรือไม่ เราพยายามกันอยู่ และเราหวังว่าจะได้รับชัยชนะอีกครั้ง”

“มันยอดเยี่ยมเสมอที่ได้เล่นเลกที่สองในบ้านตัวเอง เล่นต่อหน้าแฟนๆ ของเรา และเรากำลังอยู่ในเส้นทางที่ยอดเยี่ยม” เด เคอา กล่าวเสริม

“มันสมบูรณ์แบบสำหรับเราที่จะลงเล่นที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด และเล่นตามสไตล์ของเรา และชนะให้ได้ ผมคิดว่าทุกๆ เกมที่เราพยายามจะชนะ ถ้าเราสู้ตาย ยังไงเราก็ไม่พลาด แต่พวกเขาเป็นทีมที่ยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน และพวกเขากำลังทำได้ดีจริงๆ”

อ้วนเพราะนอนน้อย จริงไหม ?

คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า สาเหตุหลักของความอ้วน หรือการมีปริมาณคอเลสเตอรอลเกินมาตรฐานเป็นผลมาจากปริมาณอาหารที่รับประทานเข้าไป ตามมาด้วยการไม่ได้ออกกำลังกายอย่างเพียงพอ เมื่อมีใครทักเราว่าอ้วนจัง เราก็มักจะตอบว่า “ช่วงนี้กินเยอะ หนักหมูกระทะไปหน่อย บุฟเฟต์ถี่ยิบ กินแล้วก็นอนไม่ได้ออกกำลังกาย ” อีกหลายคนก็สงสัยว่ากินวันละมื้อสองมื้อเองทำไมถึงอ้วนได้นะ หรือแม้แต่คนผอมที่เคร่งครัดอาหารการกินและยังออกกำลังกายระดับหนึ่งอีกด้วยแต่ทำไมคอเลสเตอรอลยังเกินมาตรฐานอีก อ้วนก็เป็นปัญหา ผอมก็ใช่ว่าจะปลอดภัย ว่าแต่นอกจากการกิน การออกกำลังกายแล้ว ยังมีอะไรที่ส่งผลต่อความอ้วน และปัญหาคอเลสเตอรอลได้อีกล่ะ

หลังจากได้ลองศึกษาหาที่มาที่ไปของสาเหตุความอ้วนมาระดับหนึ่งจึงพบว่า นอกจากการกิน และการออกกำลังกายข้างต้นแล้วพบว่า การนอนน้อย เป็นปัญหาใหญ่ไม่น้อยไปกว่าการกินไม่เป็น และขี้เกียจออกกำลังกายเลย ทำไมนอนน้อยจึงเป็นปัญหาได้ละ

การนอนน้อยจะถูกเข้าใจ และจดจำว่าทำให้แก่เร็ว หน้าเหี่ยว ไม่สดชื่น สมองทึบทึม นี่เป็นผลลัพธ์ของการนอนน้อยที่เราสัมผัสได้ชัดและรับรู้ได้ทันทีที่นอนต่ำกว่า 8 ชั่วโมง แท้จริงแล้วการนอนน้อยต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลายาวนาน จะส่งผลกระทบต่อการทำงานของฮอร์โมน 2 ชนิด ที่ชื่อว่า เลปติน (leptin) และเกรลิน (ghrelin) เรามาดูการทำงานของฮอร์โมนทั้งสองตัวนี้

เลปติน ทำหน้าที่ส่งสัญญาณความรู้สึกอิ่มและพอ เมื่อมีปริมาณเลปตินในกระแสเลือดสูงความอยากอาหารจะถูกระงับทำให้เราไม่รู้สึกอยากกิน

เกรลิน (ghrelin) จะทำหน้าที่ในทางตรงกันข้าม มันจะกระตุ้นความรู้สึกหิวอย่างรุนแรง และแน่นอนว่าความอยากอาหารก็จะทวีขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง นอกจากนี้ยังพบว่าการอดนอนยังส่งผลให้ระดับเอนโดแคนนาบินอยด์ (endocannabinoid) ในกระแสเลือดสูงขึ้น มันเป็นกลุ่มสารเคมีลักษณะคล้ายยาเสพติดเช่นเดียวกับกัญชา (cannabis) ซึ่งจะยิงตรงไปกระตุ้นความอยากอาหาร และเพิ่มความรู้สึกอยากกินขนมขบเคี้ยวเกิดอาการกินจุบกินจิบทั้งวัน และเมื่อเรานอนน้อยจะทำให้ระดับ เกรลิน และเอนโดแคนนาบินอยด์ เพิ่มขึ้นจะทำให้เกิดแรงผลักไปสู่การกินเกินขนาด

นอกจากนี้ยังมีความเข้าใจผิดอีกว่า การที่เรานอนน้อยร่างกายเรายังเคลื่อนไหว สมองเรายังทำงานต่อเนื่องอยู่ ระบบเผาผลาญน่าจะทำงานได้ดีกว่าทีเราเข้านอนเร็ว แต่จากผลงานวิจัยพบว่า การได้นอนหลับอย่างเพียงพออย่างน้อยแปดชั่วโมงสามารถทำให้ระบบเผาผลาญทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากที่สุด ถึงแม้ว่าขณะที่เรายังไม่นอนร่างกายจะมีโอกาสเผาผลาญเพิ่มขึ้นได้ก็จริง แต่ปริมาณแคลอรีที่เผาผลาญเมื่อเปรียบเทียบกับที่นำเข้าไปนั้นมันเป็นสัดส่วนที่ยังไม่สามารถจะพาร่างกายพ้นขีดปลอดภัยได้ และนี่น่าจะเป็นคำตอบสำหรับคนผอมแต่ยังคงพบว่าคอเลสเตอรอลเกินและดูไม่มีทีท่าว่าจะลดลงแต่อย่างใด โดยเฉพาะคนผอมที่เริ่มสูงวัยผ่านหลักสี่ไปถึงหลักห้าขึ้นไประบบเผาผลาญตามธรรมชาติของร่างกายจะเริ่มเสื่อมสลายลงไปนอกจากกินให้เป็น ออกกำลังกายให้พอแล้วการเข้านอนเร็วขึ้น และนอนให้เพียงพอจะเป็นตัวช่วยสำคัญในเผาผลาญและพยุงระดับคอเลสเตอรอลไว้ในระดับที่เหมาะสมได้

จากงานวิจัยหลายชิ้นแนะนำว่าเวลาที่ควรจะเข้านอนคือ ก่อน 4 ทุ่ม หรือเวลาที่เหมาะสมสำหรับการนอนคือสี่ทุ่มถึงหกโมงเช้าเป็นอย่างน้อย การเข้านอนในช่วงเวลานี้ร่างกายจะมีการหลั่งสารเมลาโทนินที่จะทำให้เราหลับสนิท สารซีโรโทนิน ที่จะช่วยให้เราผ่อนคลายจากเรื่องราวที่ผ่านมาในแต่ละวัน สารเอโดรฟิน (สารความสุข) จะหลั่งออกมาช่วยทำให้เราหลับสนิทมากขึ้น และโดยเฉพาะหากฝึกนั่งสมาธิก่อนนอนจะเป็นตัวช่วยให้เกิดการผ่อนคลาย จิตใจสงบลง และเป็นตัวเร่งสารความสุขให้เพิ่มขึ้นอย่างได้ผลด้วย และที่สำคัญยังช่วยฟื้นฟูตับได้อีกด้วย จำนวนชั่วโมงนอนอย่างน้อย 8 ชั่วโมงจะช่วยให้การตื่นขึ้นมาอีกครั้งเต็มไปด้วยความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ปลอดโปร่งสัมผัสกับมหัศจรรย์ยามเช้าได้อย่างน่าทึ่ง และช่วงเวลานี้แหละคือ ช่วงเวลาทองของแต่ละวันที่เราไม่ควรพลาด

ถึงตอนนี้คงทราบกันแล้วว่า การนอนน้อย เป็นตัวการใหญ่อีกตัวการหนึ่งที่ทำให้โรคอ้วนมาเยือน ใครที่กำลังเผชิญกับภาวะโรคอ้วน และคอเรสเตอรอลสูงเกินมาตรฐาน คงต้องหันมาวางแผน และจัดการระบบการนอนของตนเองอย่างจริงจังเพื่อรักษาสมดุลในการทำงานของร่างกายให้เป็นไปตามธรรมชาติให้ได้มากที่สุด ผลลัพธ์ที่ได้จากการนอนเพียงพอไม่เพียงจะได้หุ่นดี สุขภาพแข็งแรง ปลอดจากโรคอันตรายแล้ว ยังช่วยให้แก่ช้า หน้าเด็ก และยังช่วยกระตุ้นการทำงานของ Growth Hormone ในวัยเด็ก ทำให้การเจริญเติบโตสมวัย ได้ความสูงตามมาตรฐานอีกด้วย

ข้อดีของการจัดบ้านให้มินิมอล เปลี่ยนชีวิตยุ่ง ๆ ให้ชิลได้อย่างใจ

ทุกวันนี้ปัญหาอย่างหนึ่งที่ทำให้เราไม่สามารถใช้ชีวิตชิล ๆ แบบช้า ๆ ตามสไตล์ Slow Life ได้นั้น ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นจากการยึดติดหรือการคุ้นชินกับการใช้ชีวิตแบบเดิม ๆ ของเรา ที่จะต้องรีบตื่นเช้า ออกไปทำงาน กลับค่ำ และทำงานหนัก ซึ่งก็ดูเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เท่าไรนัก แต่รู้หรือไม่ว่าเราสามารถที่จะเปลี่ยนให้การใช้ชีวิตของเราช้าลงได้ ด้วยจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ อย่างเช่นการทำบ้านให้มินิมอล

เอกลักษณ์ที่เห็นก็รู้ได้ทันที

ความสบายตา สบายใจ การแต่งบ้านแบบมินิมอลจะทำให้บ้านของเรานั้นกลายเป็นที่ที่อยู่แล้วรู้สึกสบาย เริ่มตั้งแต่ความเรียบง่ายที่ทำให้สบายตา ไม่ว่าจะจากการเลือกใช้โทนสีภายนอกและภายในที่เป็นโทนสีอ่อนหรือโมโนโทนที่แลดูสบายตา มีความสวยงาม ให้ความรู้สึกสบายใจ และทำให้บ้านกลายมาเป็นสถานที่พักผ่อนที่ดีที่สุด เสมือนว่าเราได้หลุดไปอยู่ในอีกสถานที่ที่เวลาเดินช้าลง

ความเฉพาะตัวที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิต ด้วยเอกลักษณ์ของการจัดบ้านในสไตล์มินิมอล กับความเรียบง่าย การจัดระเบียบที่สวยงาม ความเบา ๆ แบบมินิมอล เอกลักษณ์ทั้งหมดนี้จะทำให้เรานั้นเกิดการเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้ชีวิต จากชีวิตรีบด่วน ก็จะกลายเป็นชีวิตที่ช้าลง ชิลขึ้น ไม่เพียงแค่นั้นเรื่องของอารมณ์ของเราก็จะกลายเป็นคนใจเย็นขึ้นด้วย

มีน้อย แต่เน้นคุณภาพ

คำ ๆ เดียว คือเท่าที่จำเป็น การจัดบ้านสไตล์มินิมอลนั้นมีคำนิยามที่เรียบง่ายมาก นั้นคือการเลือกใช้ของเท่าที่จำเป็น อะไรไม่จำเป็นก็ไม่จำเป็นต้องเอาเข้ามาใช้ การทำแบบนี้จะทำให้เรารู้จักการจัดลำดับความสำคัญในชีวิตที่จะทำให้ชีวิตและใจของเราเบาขึ้น อะไรไม่จำเป็นก็ให้เอาออกไปและอย่างพยายามซื้อเข้ามาแล้วทำบ้านรกล่ะ

ทุกอย่างจะง่ายขึ้น เมื่อเลือกจัดบ้านให้เบา ของน้อย เป็นระเบียบ ก็จะทำให้การใช้ชีวิตในบ้านเป็นเรื่องง่ายขึ้น ไล่ไปตั้งแต่การหาของใช้ การจัดการ และการทำความสะอาด ที่ทุกอย่างจะง่ายไปหมด ทำให้เรามีเวลามากขึ้น ก็สามารถที่จะทำอะไรได้มากขึ้นแบบไม่ต้องรีบด้วย

เพราะว่าบ้านก็คือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหน ถ้าเราทำบ้านให้มินิมอลก็จะส่งผลให้การใช้ชีวิตของเราเป็นระเบียบขึ้น ลดความยุ่งเหยิงลงไปได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยล่ะ ตอนนี้ถ้าใครที่อยากจะทำบ้านใหม่หรืออยากจะจัดคอนโดให้สวยอย่างใจให้ตอบโจทย์ชีวิตที่เรียบง่าย ขอแนะนำว่าให้ลองเลือกจัดตามสไตล์มินิมอลดู แล้วชีวิตจะชิลขึ้นอีกเยอะเลยล่ะ

« Older posts Newer posts »