Category: ความงาม

ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสำหรับคนเป็นสิว

มีผลิตภัณฑ์มากมายสำหรับคนเป็นสิว แต่สิ่งสำคัญคือต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับสภาพผิวและความรุนแรงของสิว คำแนะนำทั่วไปมีดังนี้

มองหาผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำมันและไม่ก่อให้เกิดสิว ซึ่งหมายความว่ามันจะไม่อุดตันรูขุมขน ซึ่งอาจทำให้สิวแย่ลงได้ ใช้น้ำยาทำความสะอาดสูตรอ่อนโยนวันละสองครั้ง อย่าขัดผิวเพราะจะทำให้ระคายเคืองได้ ทามอยเจอร์ไรเซอร์ทุกวัน ถึงผิวจะมันแต่ก็ยังต้องการความชุ่มชื้น มองหามอยเจอร์ไรเซอร์ที่ระบุว่า “ไม่ก่อให้เกิดสิว” รักษาสิวด้วยการรักษาเฉพาะจุด มีผลิตภัณฑ์รักษาเฉพาะจุดที่จำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์มากมาย เช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์หรือกรดซาลิไซลิก ไปพบแพทย์ผิวหนังหากสิวของคุณรุนแรงหรือไม่ดีขึ้นด้วยการรักษาที่จำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์ แพทย์ผิวหนังสามารถสั่งยาที่ออกฤทธิ์แรงกว่าได้ เช่น เรตินอยด์หรือยาปฏิชีวนะ

คำแนะนำผลิตภัณฑ์เฉพาะบางส่วนมีดังนี้

น้ำยาทำความสะอาด

CeraVe Foaming Facial Cleanser: น้ำยาทำความสะอาดสูตรอ่อนโยนนี้ปราศจากน้ำหอมและไม่ก่อให้เกิดสิว จึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับทุกสภาพผิว

La Roche-Posay Effaclar Purifying Foaming Gel Cleanser: น้ำยาทำความสะอาดนี้เหมาะสำหรับผิวมันและเป็นสิวง่าย ประกอบด้วยกรดซาลิไซลิกเพื่อช่วยขัดผิวและป้องกันการเกิดสิว

มอยเจอร์ไรเซอร์

CeraVe Moisturizing Facial Lotion: มอยเจอร์ไรเซอร์เนื้อบางเบานี้ไม่ก่อให้เกิดสิวและปราศจากน้ำหอม ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวโดยไม่อุดตันรูขุมขน

Vanicream Lite Lotion: โลชั่นปราศจากน้ำหอมนี้อ่อนโยนพอสำหรับผิวที่บอบบางที่สุด นอกจากนี้ยังไม่ก่อให้เกิดสิวและปราศจากน้ำมันอีกด้วย

การรักษาเฉพาะจุด

Neutrogena Rapid Clear Acne Spot Treatment: ทรีทเม้นต์เฉพาะจุดนี้ประกอบด้วยเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบ

La Roche-Posay Effaclar Duo Dual Action Acne Treatment: ทรีตเมนต์เฉพาะจุดนี้มีทั้งเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์และกรดซาลิไซลิกเพื่อรักษาสิวและป้องกันไม่ให้เกิดสิวใหม่

โปรดทราบว่านี่เป็นเพียงคำแนะนำทั่วไปเท่านั้น ผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดสำหรับคุณจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละบุคคลและความรุนแรงของสิว เป็นการดีที่สุดเสมอที่จะพูดคุยกับแพทย์ผิวหนังก่อนเริ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวใหม่

9 สาเหตุหน้าแก่ก่อนวัย

การใช้ชีวิตที่ขาดความรู้นำสู่การสร้างโรคและทำร้ายร่างกายให้เสื่อมก่อนวัยอันควร หน้าแก่ก่อนวัยก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ของหนุ่มสาว อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ความแก่มาเยือนผิวหน้าก่อนถึงเวลาอันควร ไปดูกัน 

  1. ตากแดดจัดขาดการปกป้อง 

เพราะแสงแดดมีรังสี UV, UVB ที่เป็นสาเหตุให้เกิดอนุมูลอิสระ ทำให้ผิวคล้ำเสีย เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยเหี่ยวย่น ในคนที่ต้องทำงานกลางแจ้ง มีโอกาสสัมผัสแดดบ่อยๆจำเป็นต้องใช้ครีมกันแดดที่มี SPF 50 ขึ้นไป และควรเลี่ยงการสัมผัสช่วงแดดจัด

  1. ดื่มน้ำน้อย 

ร่างกายมีน้ำเป็นส่วนประกอบถึง 70% เราควรทยอยดื่มน้ำให้ได้ 1.5-3 ลิตร/วัน เพื่อกระตุ้นระบบไหลเวียนของเลือด เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ลดการแตกแห้ง เป็นขุย ป้องกันผิวเหี่ยวย่น 

  1. ผิวแห้ง 

มีพฤติกรรมดื่มน้ำน้อย ล้างเครื่องสำอางไม่สะอาด ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่มีส่วนผสมของอัลกอฮอลล์ ขาดการใช้ครีมบำรุงผิว ล้างหน้าด้วยน้ำที่อุณภูมิสูงเกินไป เช็ดผิวหน้ารุนแรง เป็นต้น

  1. ทานหวาน  

น้ำตาลตัวอันตรายเข้าไปเปลี่ยนโครงสร้างของคอลลาเจนเกิดการทำลายอีลาสติกซึ่งเป็นโปรตีนสร้างผิวกระชับและยืดหยุ่น ก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ เร่งผิวหนังแห้ง มีริ้วรอยลึก หย่อนคล้อย องค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) แนะนำให้ผู้ใหญ่และเด็กบริโภคน้ำตาลไม่เกิน 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัม/วัน ตัวอันตรายอันดับต้นๆ คือ น้ำอัดลม ในปริมาณ 450 มิลลิลิตร มีน้ำตาล 10.75 ช้อนชา และชานมไข่มุก ใน 350 มิลลิลิตร มีน้ำตาล 11.25 ช้อนชา เป็นต้น 

  1. นอนดึก-ท่านอนไม่เหมาะสม 

การนอนดึก นอนไม่เป็นเวลาจะสกัดกั้นการทำงานของโกรทฮอร์โมน (สร้างการเติบโต) ที่จะหลั่งมาทำหน้าที่ซ่อมแซม เร่งการเติบโตในช่วงเวลานอน (หลัง 4 ทุ่ม) ทำให้ผิวหน้าไม่ได้รับการซ่อมแซมตามธรรมชาติ นอกจากนี้ท่านอนคว่ำจะทำให้เกิดรอยย่นที่หน้าผากและแก้มได้ง่าย การนอนหงายจึงเป็นท่านอนที่เหมาะสมที่สุด 

  1. กินตอนดึก  ส่งผลให้เกิดการยับยั้งการหลั่งของฮอร์โมนต้านความแก่ คือ เมลาโทนิน 
  2. แต่งหน้าจัด ล้างไม่สะอาด 

ในเครื่องสำอางมีสารเคมีที่พร้อมทำลายผิว การใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ไม่อ่อนโยนต่อผิว หรือล้างไม่สะอาดจะเกิดการตกค้างของสารเคมีทยอยทำร้ายผิวอย่างต่อเนื่อง 

  1. พฤติกรรมทำหน้าแก่ 

เช่น แสดงอารมณ์ผ่านใบหน้ามากเกินไปทำให้กล้ามเนื้อใต้ผิวหนังบนใบหน้าทำงานหนัก และทำให้เกิดริ้วรอยและร่องลึกได้ง่าย เช่น การขมวดคิ้ว เบะปาก, การเคี้ยวหมากฝรั่งนานๆ เช่น วันละ 20 นาทีทำให้เกิดรอยย่นรอบปาก

  1. การสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตัวการสร้างอนุมูลอิสระ ยิ่งดื่มยิ่งสูบยิ่งแก่เร็ว

จะเห็นได้ว่าทั้ง 9 สาเหตุหน้าแก่ดังกล่าวข้างต้นเกิดจากพฤติกรรมประจำวันที่เราสร้างขึ้นมาทำลายผิวหน้าของเราเองทั้งสิ้น เพียงใส่ใจ ลด ละ เลิก ป้องกัน ดูแล ปัจจัยเสี่ยงที่พร้อมทำลายผิวพรรณเหล่านี้ ก็สามารถให้สุขภาพผิวดำเนินสภาพไปตามวัยได้อย่างเหมาะสม 

เทคนิคลดฝ้าที่คุณควรรู้ ไม่อยากเป็นฝ้าต้องอ่าน

ฝ้าเป็นโรคผิวหนังที่แม้จะไม่ทำให้เกิดการติดเชื้อ แต่ก็มีผลกระทบต่อความมั่นใจของผู้หญิงทุกคน ซึ่งการรักษาฝ้าในปัจจุบันมีหลายวิธีที่คุณดูแลตัวเองได้ โดยประหยัดค่าใช้จ่ายในการทำเลเซอร์ได้มากทีเดียว

สาเหตุที่สำคัญของฝ้า คือการกระตุ้นด้วยรังสียูวีในแสงแดด ที่ทำให้เซลล์ melanocyte มีการผลิตเม็ดสีมากเกินไป เมื่อสะสมมากขึ้นทำให้มองเห็นเป็นจุดด่างดำวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ บนใบหน้า ซึ่งทำให้ต้องรีบหาวิธีในการดูแลตัวเองเร่งด่วนไม่ให้ฝ้าลงลึกและเข้มกว่าเดิม สำหรับเทคนิคลดฝ้าที่คุณทำได้ง่าย ๆ มีดังนี้

1. ทาครีมกันแดด

ครีมกันแดดในปัจจุบันมีค่า SPF หลายระดับ ควรเลือกที่มีค่า SPF 50 ขึ้นไปหากต้องทำงานในที่แดดแรงหรือเล่นกีฬา และจำเป็นต้องทาซ้ำบ่อย ๆ ทุก 2-3 ชั่วโมง เพื่อเพิ่มความหนาในขณะที่เหงื่อออกชะล้างประสิทธิภาพของครีมกันแดด

2. ทาผลิตภัณฑ์สูตรรักษาฝ้า

ครีมที่มีฤทธิ์ในการลดฝ้าจาง ๆ ได้ มักเขียนว่าสูตรเพื่อผิวกระจ่างใส มีสารสกัดจากวิตามินซี มะเขือเทศ เมล็ดองุ่น ชะเอมเทศ ฯลฯ เป็นส่วนผสมซึ่งควรทาเป็นประจำต่อเนื่องวันละ 1-2 ครั้ง ก่อนทาครีมกันแดด จะช่วยในการผลัดเซลล์ผิวหน้าที่หมองคล้ำให้หลุดลอกออก และทำให้เซลล์ผิวหน้าใหม่ที่สดใส ช่วยให้คุณมั่นใจขึ้นอีกครั้ง

3. พอกหน้าสมุนไพร

การพอกหน้าลดฝ้าทำได้ด้วยตัวคุณเองง่าย ๆ จากพืชสมุนไพรในครัวเรือน ได้แก่ เจลจากว่านหางจระเข้ที่ต้องล้างยางใกล้เปลือกออกให้หมด นำมาบดผสมกับไข่ขาว แล้วพอกหน้าทิ้งไว้ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ก่อนจะบำรุงหน้าด้วยครีมสูตรผสมวิตามินอี เทคนิคนี้เป็นตัวช่วยที่ดีสำหรับคนที่มีฝ้าจาง ๆ และที่สำคัญ ต้องทำเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้งด้วย

4. น้ำแอปเปิลไซเดอร์

น้ำแอปเปิลไซเดอร์เป็นน้ำผลไม้ที่หาซื้อได้ง่ายจากห้างสรรพสินค้า มีสรรพคุณในการต้านอนุมูลอิสระ กระตุ้นการหลุดลอกของเซลล์ผิวเก่า ๆ และช่วยให้เซลล์ที่เสื่อมโทรมฟื้นคืนสภาพได้เร็ว วิธีในการใช้ประโยชน์จากน้ำแอปเปิลไซเดอร์มีทั้งการดื่มผสมกับน้ำผลไม้คั้นสด และการเจือจางกับน้ำสะอาดแล้วทาบนหน้าทิ้งไว้ 10-20 นาทีก่อนล้างออกด้วยน้ำอุ่น ทำเป็นประจำจะทำให้ลดความเข้มของฝ้าได้

จะเห็นได้ว่า การดูแลตัวเองให้ลดฝ้าได้มีหลายวิธี ซึ่งผู้ที่ทำตามเทคนิคที่กล่าวมาและหลีกเลี่ยงการโดนแดดช่วงหลัง 8 โมงเช้าจนถึง 4 โมงเย็น จะเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้น และไม่ต้องเสี่ยงกับการใช้ผลิตภัณฑ์รักษาฝ้าอื่น ๆ ที่มีราคาแพงจนเกินไป

สาเหตุที่สำคัญของฝ้า คือการกระตุ้นด้วยรังสียูวี

บอกต่อเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับสิวสำหรับคนรุ่นใหม่ 2019

สิวเป็นโรคทางผิวหนังชนิดหนึ่ง ที่เป็นปัญหาสำคัญในช่วงวัยรุ่นและวัยทำงาน เนื่องจากปัจจัยด้านฮอร์โมนและพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ที่เป็นความเสี่ยงของการเป็นสิวหลากหลายประเภทต่าง นอกจากจะมีผลกายภาพแล้ว ยังมีผลต่อความมั่นใจในการเข้าสังคมและการทำงานด้วย

ในบทความนี้ เราจึงได้รวบรวมเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับสิวสำหรับคนรุ่นใหม่ เพื่อให้ทุกท่านรับมือกับสิวได้อย่างถูกต้องยิ่งขึ้น

สิวมีอยู่หลายชนิด ได้แก่ สิวอุดตัน สิวอักเสบ หรือที่เรียกทั่วไปว่าสิวหัวช้าง สิวผดผื่น ที่เกิดจากการแพ้เครื่องสำอาง ฯลฯ พบมากบริเวณที่มีต่อมไขมันหนาแน่น เช่น ทีโซนของใบหน้า หน้าอก แผ่นหลัง ฯลฯ

ปัญหาสิวที่คนส่วนใหญ่มักกังวล เพราะเป็นจุดสังเกต คือ สิวอักเสบ ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Propionibacterium acnes (P.acnes) ซึ่งอาศัยไขมันที่อุดตันอยู่ในรูขุมขนเป็นแหล่งอาหารในการเติบโต และหากมีการแกะเกาสิวด้วย ก็จะเกิดการติดเชื้อที่ผิวหนังจากแบคทีเรียชนิดอื่น ๆ เพิ่มเติมได้จนเป็นปัญหาลุกลามที่รักษายากขึ้น

พฤติกรรมที่ควรทำเพื่อลดปัญหาสิว ได้แก่

1. การทดสอบเครื่องสำอางที่จะใช้ โดยการทาที่บริเวณท้องแขนก่อนทาที่ใบหน้า เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่เกิดสิวผดจากการแพ้

2. การล้างหน้า ไม่ควรเกินวันละ 2 ครั้ง เช้าและก่อนนอน หากมีการออกกำลังกาย ไม่ควรล้างด้วยโฟมล้างหน้าที่ทำให้รู้สึกผิวแห้งตึง เพราะเกิดจากการสูญเสียความชุ่มชื้นและเป็นสิวได้ง่าย

3. สำหรับผู้ที่จัดแต่งทรงผม ควรทำความสะอาดด้วยแชมพูสูตรเฉพาะที่สามารถทำความสะอาดเจล แว็กซ์ สเปรย์ ฯลฯ ได้อย่างหมดจดเพื่อให้ลดการสะสมสารเคมีและสิ่งปนเปื้อนที่อาจสัมผัสใบหน้าทำให้เกิดสิวได้

4. การรับประทานผักผลไม้สดเป็นประจำ โดยเฉพาะที่มีกากใยสูง เช่น สัปปะรด แก้วมังกร มะละกอ จะช่วยกระตุ้นระบบการขับถ่าย ลดอาการท้องผูกและสิวบางชนิดได้

5. การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 6-8 ชั่วโมง ต่อวัน เพื่อให้ระบบฮอร์โมนในร่างกายทำงานเป็นปกติจะช่วยลดปัญหาการเป็นสิวอักเสบได้

6. การงดอาหารที่มีไขมันสูง เช่น ช็อกโกแลต และอาหารหมักดอง เพราะมีการศึกษาว่าเกี่ยวข้องกับการเกิดสิวได้

พฤติกรรมที่ควรทำเพื่อลดปัญหาสิว ได้แก่

เมื่อมีปัญหาสิว ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เพื่อการเลือกใช้ยารักษาได้อย่างถูกต้องตามชนิดที่เป็น ซึ่งปัจจุบันมียาให้เลือกหลายรูปแบบ เช่น ยารับประทานยาทาผิวหนัง ฮอร์โมนเม็ดรับประทาน ฯลฯ รวมถึงการใช้วิธีของแพทย์ผิวหนังที่เป็นนวัตกรรมใหม่ อย่างการเลเซอร์ เพื่อกำจัดเซลล์เก่าให้หลุดลอกออกจากบริเวณรูขุมขนและลดการเป็นสิวอุดตัน รวมถึงการทรีตเมนต์ที่ช่วยลดการสร้างไขมันส่วนเกินได้